Categories
good health

ทำอย่างไรเมื่อมีอาการหมดไฟ

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิดเริ่มต้นขึ้น เราทุกคนต่างใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมากขึ้นอยู่กับบ้านมากขึ้นใช้ชีวิตตามลำพังและเข้าสังคมน้อยลง มีช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้เกิดกิจกรรมมาใหม่ขึ้นมามากมายกลางเรียนที่บ้านทำงานที่บ้าน ซึ่งบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตเรา และเช่นเดียวกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดก็ทำให้เราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เราทำอยู่เสมอในแต่ละปีอย่างเช่น การออกกำลังกายในพื้นที่สาธารณะ การเดินทางท่องเที่ยว เป็นต้น

ซึ่งการที่เราไม่ได้ทำกิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายนั้นทำให้ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาเรามีแต่เรื่องการทำงานและเรื่องการเรียนอยู่ตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ และการทำกิจกรรมแบบนี้วนไปทุก ๆ วันก็อาจจะทำให้เกิดอาการหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากทำแล้ว เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ซึ่งอาการเหล่านี้ก็คืออาการหมดไฟนั่นเอง

ภาพจาก Pexels

อาการหมดไฟเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคนทุก ๆ คนและไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้และในช่วงปีที่ผ่านมาอาการนี้ก็กลายเป็นอาการยอดฮิตที่หลายๆ คนเป็นกันเลยก็ว่าได้ โดยอาการหมดไฟสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุเป้าหมายที่สูงเกินไป การทำงานหนักเกินไป หรือว่าความเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งอาการหมดไฟนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้และหายเองได้ถ้าหากว่ารู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเองซึ่งแต่ละคนนั้นก็อาจจะใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไปบางคนใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันแต่บางคนก็ใช้เวลาเป็นปีกว่าอาการหมดไฟจะหมดไป ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากว่าปล่อยให้อาการนี้อยู่กับเราเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้เราสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายเสียรวมไปถึงการงานการเรียนก็เสียไปด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเป็นไปได้ก็ควรที่จะจัดการกับอาการนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรืออย่างน้อยก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้

ภาพจาก Pexels

มีวิธีการมากมายที่จะช่วยให้อาการหมดไฟนั้นหายไป ถ้าหากรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังมีอาการนี้อยู่และใช้เวลาอยู่กับงานอยู่กับการเรียนมากเกินไปก็อาจหากิจกรรมอื่นเข้ามาทดแทนอย่างเช่นการอ่านหนังสืออ่านเล่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือถ้าว่ารู้สึกอยู่กับบ้านนานเกินไปหรือไม่ได้พูดคุยกับใครก็อาจจะออกไปเข้าสังคมบ้างหรือแชทหาใครสักคนเพื่อพูดคุยและระบายปัญหาต่าง ๆ ก็สามารถช่วยได้มากเลยทีเดียว งานอดิเรกก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยให้อาการหมดไปนานทุเลาลงได้ ปลูกต้นไม้ เล่นบอร์ดเกม เป็นต้น

แน่นอนว่าบางครั้งการพักผ่อนอยู่เฉย ๆ เพื่อให้อาการหมดไฟนั้นหมดไปก็อาจจะทำให้เรารู้สึกผิดบ้างที่ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถ้าหากว่าเราฝืนทำงานต่อไปก็จะทำให้ส่งผลเสียไปมากกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นการพักผ่อนก็เป็นเรื่องที่ดีมากด้วยเช่นกันและถ้าหากว่าอาการหมดไฟมันหายไป อาจจะทำให้เราสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพจาก Pexels

ข้อมูลจาก CNN

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

4 วิธีแก้ไขสุขภาพจิต เคล็ดลับแบบง่ายเริ่มต้นได้ที่บ้าน 

ในช่วงนี้ทุก ๆ คนน่าจะสูญเสียพลังทางด้านความรู้สึกในแง่บวกกันอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่นั้นมีแต่คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเชื้อไวรัส covid 19 แต่คุณเชื่อไหมว่ายังมีอีกโลกหนึ่งที่คนไทยกำลังพบเจอกันเป็นจำนวนมาก คือ สุขภาพจิต และความเครียด ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้สะสมอยู่ในความรู้สึกของทุกคนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ที่บ้าน และไม่สามารถออกไปไหนได้ เราจึงอยากจะแนะนำให้คุณรู้จักกับวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวคุณเองแบบง่าย ๆ เริ่มต้นได้ที่บ้าน

1. การคลายความเครียดด้วยการออกกำลังกาย 

วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นหดหู่เศร้าหมอง และไม่ค่อยอยากจะทำอะไรในปัจจุบัน อยากแนะนำให้คุณนั้นพยายามออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิค ภายในบ้านหรือหาอุปกรณ์แบบง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนหนู ขวดน้ำหรือว่าจะเป็นหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ก็สามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ลดความเครียดได้ และยังทำให้คุณนั้นมีสุขภาพดีได้ง่าย ๆ โดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องออกไปออกกำลังกายภายนอก 

2. เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของห้องและบ้านของคุณให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น 

สำหรับช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเครียดหรือเบื่อที่คุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่บ้าน ขอแนะนำให้คุณจัดแจงพื้นที่บ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมุมห้องที่ตกแต่งแล้วดูดีมีสไตล์ หรือจะเป็นการเคลื่อนที่ของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกได้ว่าบ้านของคุณนั้นมีการเปลี่ยนแปลง และองค์ประกอบให้เหมือนเดิมจะทำให้คุณผ่อนคลายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ชาวต่างชาตินิยมใช้เป็นอย่างมาก เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศรอบตัวสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้า และวิธีนี้ก็สามารถช่วยทำให้คุณนั้นผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน 

3. พยายามเปิดเมนูอาหารทำเอง 

การทำอาหารก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดีสำหรับการผ่อนคลายสุขภาพจิตใจของตัวเอง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเครียดสะสมเมื่อเวลาเราอยู่บ้านเป็นเวลานาน ๆ แล้วไม่ได้ออกไปไหนเลย คุณก็สามารถใช้วิธีนี้ได้จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และเปลี่ยนอาหารจานเด่นของคุณให้กลายเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ จะมีประโยชน์มากกับคนขี้เบื่อ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มสีสันในชีวิตประจำวันคุณได้รับรองได้งานนี้คุณคงจะไม่บ่นกับเรื่องอาหารที่ซ้ำซากจำเจอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นขอแนะนำให้คุณหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมนะเมนูเพียบเลย 

4. หาทางพูดคุย และทางระบายความรู้สึก 

นี่อาจจะเป็นวิธีการสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ สำหรับคนที่มีสุขภาพจิตย่ำแย่ และต้องการระบายความเครียดออกมา การที่เราได้เล่าให้ใครสักคนหนึ่งฟังในสิ่งที่เรารู้สึกไม่ดีอยู่ในปัจจุบัน เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็ได้ผลดีมากที่สุดที่สามารถช่วยลดความเครียดได้อย่างทันท่วงที ขอแนะนำให้คุณพูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือถ้าหากไม่มีก็สามารถติดต่อทางด้านทีมแพทย์โดยตรงได้ที่กรมสุขภาพจิตก็จะสามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้มากเช่นเดียวกัน 

สรุป 

การดูแลสุขภาพจิตของตัวเองหรือคนที่คุณรักอยู่ในครอบครัวในช่วงเวลาที่โรคระบาด covid-19 กำลังคุกคามเข้ามาในชีวิตของคนไทย อยากแนะนำให้คุณนั้นดูแล และใส่ใจสุขภาพ แน่นอนไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกายแต่คุณก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพจิตเช่นเดียวกัน หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง กับโรคระบาดครั้งนี้ขอให้ทุกคนโชคดี 

ขอขอบคุณภาพประกอบโดย https://pixabay.com/

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

“การนั่งสมาธิ” ความสงบทางจิตใจ

 การนั่งสมาธิ คือ การนั่งหลับตา สั่งการให้สมองหยุดคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพียงแค่สักพักสักครู่เดียว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรามีสติมากขึ้น ยังช่วยส่งผลให้สุขภาพกายและใจของเราดีขึ้นได้อีกด้วย หลายคนอาจจะรู้สึกทึ่งเมื่อได้ฟังแบบนี้

ใครที่มักมีเรื่องเครียด เรื่องให้ต้องคิดมาก เรื่องให้ต้องกังวลเข้ามาบั่นทอนสุขภาพจิตใจของเราบ่อย ๆ จนบางครั้งอาจจะส่งผลกระทบถึงสุขภาพกายทำให้เรามีอาการเจ็บป่วยตามไปด้วย บทนี้จึงขอนำประโยชน์ของการนั่งสมาธิที่มีผลดีต่อสุขภาพของเราได้ดีด้วยมาฝากกันค่ะ เรามาติดตามกันว่าการที่เรานั่งสมาธิจะมีผลทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง

  • การนั่งสมาธิทำให้จิตใจของเรารู้สึกแจ่มใส เบิกบานขึ้น

การนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน ข้อดีที่เราจะได้รับก็คือ มีสุขภาพจิตดีขึ้น สามารถจัดการกับด้านลบของตัวเองได้ เช่น เศร้า โกรธ เครียด หดหู่ กลัว และความวิตกกังวล ซึ่งจากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Social Cognitive and Affective Neuroscience เผยว่า การนั่งสมาธิเป็นการกระตุ้นสมองให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น ยับยั้งการทำงานของสมองส่วนกลาง หรือส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (Amygdala) ทำหน้าที่สร้างอารมณ์ด้านลบ เช่น โมโห เกลียด เศร้า กลัว และกระวนกระวายใจ ให้ทำงานน้อยลง ดังนั้นถ้าเรานั่งสมาธิเป็นประจำจะช่วยให้เรามีอารมณ์ที่แปรปรวนน้อยลง มีจิตใจที่สุขสงบมากขึ้น

  • การนั่งสมาธิช่วยให้หัวใจของเรามีความแข็งแรงมากขึ้น

ความเครียดเป็นตัวทำลายสุขภาพหัวใจของเราอย่างมาก ถ้าเรารู้สึกเครียดขึ้นมาเมื่อใดก็ตาม ความดันเลือดในร่างกายของเราจะสูงขึ้นตามไปด้วย และถ้าหากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ สุขภาพหัวใจของเราก็จะแย่ลงตามไปด้วย การนั่งสมาธิช่วยให้เราลดและผ่อนคลายความเครียด ผลการวิจัยของ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา เผยว่า การนั่งสมาธิสามารถลดระดับฮอร์โมนเครียดในร่างกายได้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความดันในเลือดให้ลดลงด้วย นั่นหมายถึงว่า หากหลอดเลือดหัวใจมีการไหลเวียนของเลือดอยู่ในระดับที่ปกติแล้ว หัวใจก็ไม่ต้องทำงานหนักขึ้นนั่นเอง

  • การนั่งสมาธิช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค

ทำให้เราเจ็บป่วยยากขึ้น จากการทดลองพบว่า ผู้ที่นั่งสมาธิติดต่อกัน 8 สัปดาห์นั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดยากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลย นอกจากนี้แล้ว การนั่งสมาธิยังส่งผลให้วัคซีนมีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกด้วย โดยที่ในรายที่นั่งสมาธินั้น ร่างกายจะตอบสนองกับวัคซีนได้ดีกว่า

  • การนั่งสมาธิช่วยฟื้นฟูสุขภาพสมองให้มีความแข็งแรงขึ้น

จากหลายงานวิจัยที่มีความเห็นตรงกันว่า การนั่งสมาธิติดต่อกันนาน 8 สัปดาห์ส่งผลดีต่อสุขภาพสมอง โดยที่เราจะสามารถจดจำอะไรได้มากขึ้น สามารถจัดการกับอารมณ์ด้านลบของตัวเองได้ดีขึ้น เช่น ซึมเศร้า เครียด กังวล เป็นต้น ซึ่งอารมณ์ด้านลบเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพสมองของเราให้ถดถอยลงเรื่อย ๆ เช่น ขี้ลืม พูดจาติดขัด อารมณ์แปรปรวน คิดอ่านช้า เป็นต้น

ทั้งหมดนี้คือประโยชน์ของการนั่งสมาธิที่มีต่อสุขภาพร่างกายของเราที่นำมาฝากกัน นอกจากที่เราจะได้แน่นอนก็คือ ความสงบทางจิตใจแล้ว สุขภาพที่ดีขึ้น ก็จะมีตามมาด้วยลองไปฝึกนั่งสมาธิกันดูค่ะ เพื่อสุขภาพใจและกายที่ดีขึ้นของเราเอง

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

ดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตเมื่อเป็น”โรคเบาหวาน”

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายระบบ ทั้ง ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ สมอง และหลอดเลือดแดง รวมทั้งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอีกหลายอย่างทีเดียวค่ะ

เราสามารถดูแลรักษาสุขภาพของตัวเราเองและป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการบริโภคของเราและการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอตามความเหมาะสมกับร่างกายของเรา

แต่ถ้าเกิดเราเป็นโรคเบาหวานไปแล้วล่ะ เราต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเราเองอย่างไร ให้มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ในบทนี้จึงขอนำวิธีการดูแลรักษาสุขภาพเมื่อเราเป็นเบาหวานมาฝากกัน

  • เบาหวาน

เป็นกลุ่มโรคเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือว่าการเกิดภาวะที่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย

  • อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย

เพราะร่างกายคนเรานั้นรับประมานอาหารเข้าไปทุกวัน อินซูลินมีหน้าที่ในการเปลี่ยนแป้งโปรตีนให้เป็นน้ำตาล หากไม่มีอินซูลิน ก็จะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ส่วนต่างๆ ของร่างกายเราได้นั่นเอง

ยังจะทำให้เรามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ด้วย และก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ อินซูลินสร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

ถ้าเราเป็นโรคเบาหวาน เราจะต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเราเองกันอย่างไรดี

  • ควรเลือกทานอาหารจำพวกแป้งจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี ในปริมาณที่พอเหมาะ
  • ควรที่จะพยายามงดอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเป็นหวาน มัน หรือเค็ม (โซเดียมน้อยกว่า 1,500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน)
  • ควรทานผัก และผลไม้ที่ไม่หวานจัดเพื่อเพิ่มกากใยอาหารควบคุมน้ำหนัก
  • ควรอย่างยิ่งที่จะต้องงดสูบบุหรี่ และงดดื่มสุรา
  • ควรที่จะออกกำลังกายเป็นประจำในแบบแอโรบิค (moderate intensity) วันละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ตามคำแนะนำของแพทย์ ในกรณีที่ไม่มีข้อห้ามใดๆจากแพทย์
  • ควรระวังอย่าทานยาชนิดใด ๆ เองโดยที่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ ก่อนโดยเฉพาะยากลุ่มที่เป็นยาประเภทเสตียรอยด์ ประเภทยาฮอร์โมน
    และก็ควรที่จะหมั่นศึกษาหาความรู้ในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคเบาหวานด้วยค่ะ
  • ควรที่จะพยายามทำจิตใจให้สงบ และหาเวลาพักผ่อน คลายความเครียด ไม่โกรธ หรือโมโหง่าย
  • ควรที่จะดูแลและตรวจดูที่เท้าทุกวัน เพื่อสำรวจแผลที่ง่ามนิ้วเท้า ฝ่าเท้า ถ้าพบ จะได้รีบไปปรึกษาแพทย์ให้ทันเวลา แผลจะได้ไม่ลุกลามไปมากจนเราไม่สามารถรักษาได้
    อาจร้ายแรงมากจนถึงขั้นตัดเท้า หรือขาทิ้งไปเลยทีเดียว สำหรับแผลเบาหวานที่ลุกลามไปมาก และแพทย์ไม่สามารถช่วยรักษาให้หายได้ทันเวลานั่นเองค่ะ

โรคเบาหวาน มีผลกระทบต่อระบบร่างกายของเราในหลายระบบค่อนข้างรุนแรงนะคะ แต่ถ้าหากว่าเราดูแลรักษาสุขภาพของเราให้แข็งแรง ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทำจิตใจให้เข้มแข็ง สงบสบาย ฟังเพลงที่เราชอบ อ่านหนังสือ ฟังธรรมะ หรือทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่เราชอบ เราก็จะมีชีวิตประจำวันที่มีความสุขในทุกๆวันได้อย่างแน่นอน

ติดตามบทความ good healthy ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com