Categories
good health

ทำไมออกกำลังกายแล้วพุงหมาน้อยไม่หาย

                ถ้าจะพูดเรื่องสุขภาพและการออกกำลังกาย  เราจะออกกำลังกาย  แก้ปัญหาในส่วนตรงนี้ค่อนข้างยากพอสมควร  นั่นก็คือ  “พุง”  ซึ่งเรื่องพุงๆ  เป็นปัญหาโลกแตกมากในสังคมไทย  และเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย  แต่คนที่กังวลเรื่องพุงคงไม่พ้นในกลุ่มผู้หญิง  ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องพุงหมาน้อยเข้ามาเกี่ยว 

สาเหตุหลักๆ  ของผู้มีปัญหาพุงหมาน้อย  ส่วนมากเกิดจากไขมันบริเวณท้องน้อยมีการสะสมมากกว่าปกติ  ทำให้ส่วนของท้องน้อยมีส่วนยื่นออกมาจนเห็นในลักษณะทางกายภาพชัดเจน  จึงเป็นสิ่งที่กวนใจอย่างมากในการลดน้ำหนัก  แต่ก็มีไม่น้อยที่ลดแล้วพุงหมาน้อยแก้ไม่หาย

อาการพุงหมาน้อยเป็นเรื่องที่กวนใจในบรรดาสาวๆ  อย่างมาก  ไม่ว่าจะเป็นสาวผอมบาง  สาวอวบ  สาวอ้วน  หรือสาวที่มีปัญหาเรื่อง  Skinny Fat  เข้ามา  ซึ่งหลายคนไม่ออกกำลังกายก็มีพุงหมาน้อย 

แต่ก็มีไม่น้อยที่ออกกำลังกาย  ควบคุมอาหารแล้วไม่ได้ผลสักที  จึงเป็นสาเหตุที่เราออกกำลังกายแล้วพุงหมาน้อยไม่ลดลงสักที  หรือออกกำลังกายแล้วเรารู้สึกไม่ไหวกับสิ่งที่ยื่นออก  จนกระทั่งย้วยออกมาชัดเจน  ซึ่งจะบอกสาเหตุได้ดังนี้

  1. ออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป  การออกกำลังกายจะหลั่งฮอร์โมนชื่อว่า  Endorphine  ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยการหลั่งให้เกิดความรู้สึกดี  ผ่อนคลาย  แต่ต้องออกกำลังกายในความถี่และความหนักเหมาะสม  แต่บางคนออกแล้วไม่ได้ผลส่วนมาก 
  2. มักจะเป็นคนที่ออกกำลังกายในโหลดของความหนักไม่เหมาะสม  ทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน  Cortisol  ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด  ทำให้มีความเครียดสะสมจนไม่สามารถลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพได้
  3. การควบคุมอาหารแบบหักดิบ  การรับประทานอาหารก็เป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก  การลดพุงอย่างได้ผล   จะเห็นได้ว่ามีสูตรพิเศษในการควบคุมอาหาร  ซึ่งบางสูตรเป็นสูตรที่ไม่ดีต่อร่างกายในระยะยาว  เช่น  กลุ่มทานอาหารแบบ  Keto  แบบ  IF  ซึ่งการเลือกไม่เหมาะสม  ทำให้ร่างกายเสียสมดุล 
  4. และเสี่ยงต่อการสะสมไขมันในระยะยาวได้  ซึ่งไม่ใช่แค่พุงหมาน้อยอย่างเดียว
  5. ทำงานหนัก  เรื่องรายได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับปากท้องเสมอ  การโหมทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ  สิ่งนั้นก็ทำให้เกิดภาวะพุงหมาน้อยได้เช่นกัน
  6. เน้นคาร์ดิโอหนักเกินไป  การออกกำลังกายที่ดีควรเล่นทั้งเวทและคาร์ดิโอควบคู่กัน  ถ้าไม่มีเวทในโปรแกรมของคุณ  หรือเน้นคาร์ดิโอแบบหนักจนเกินไป
  7.   ก็ทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียมวลเร็ว  ความกระชับจะน้อยลงตามไปด้วย  ฉะนั้นการออกกำลังกายแต่ละครั้ง  ควรมีเวทและคาร์ดิโอด้วย

                ทางแก้ปัญหาเรื่องการลดพุงหมาน้อยที่ดีที่สุด  ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก  เนื่องจากต้องมีการออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่งควบคู่กับคาร์ดิโอเสมอ  สักวันละ  45  นาทีขึ้นไป  เพื่อการเผาผลาญไขมันที่ได้ผล  โดยเน้นการออกกำลังกายส่วนแกนกลางเป็นหลัก  เช่น  Plank, Crunch, Good  Morning,  Russian  Twist  และ  Reverse  Crunch  อีกทั้งการรับประทานอาหารก็มีส่วน

  เช่น  การรับประทานอาหารไขมันต่ำ  หรือรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง  เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้กระชับ  พร้อมสำหรับการทำกิจกรรมประจำวันของตนเองได้แล้ว  และสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย  นั่นก็คือการนอนหลังสนิทเพียงพอ  จะช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพดีขึ้น  ไม่เสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

ท่ายืดเหยียดตอนตื่นที่จะทำให้คุณสบายตัวมากยิ่งขึ้น

เคยรู้สึกกันบ้างหรือไม่ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมานั้นรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งตัวเลยไม่ว่าจะเป็นขา สะโพกหลัง รวมถึงมีอาการปวด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่เรานอนนั้นร่างกายได้อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายมีความตึงนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเราตื่นนอนมาการยืดเหยียดจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาการเหล่านั้นหายไปคือช่วยลดอาการปวดเมื่อยล้าให้เบาลง ซึ่งก็มีท่ายืดเหยียดจำนวนไม่น้อยเลยที่จะทำให้เรารู้สึกสบายมากขึ้นหลังตื่นนอนและลดอาการเมื่อยล้า

ภาพจาก Pixabay

Child’s Pose

ท่านี้เป็นท่าที่ดีมากที่จะช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณสะโพก, กระดูกเชิงกราน, ต้นขา และกระดูกสันหลัง ซึ่งบริเวณดังกล่าวนั้นจะเป็นบริเวณที่มีการตึงของกล้ามเนื้ออย่างมากในช่วงเช้า ซึ่งการทำท่าดังกล่าวอาจจะทำบนเตียงหรือทำบนเสื่อโยคะก็ได้ สามารถดูตัวอย่างวิธีการทำท่านี้ได้ที่ : Child’s Pose

ภาพจาก Pexels

Cat-Cow

ท่านี้เป็นท่าที่จะช่วยให้ของเหลวที่อยู่บริเวณไขสันหลังหมุนเวียนได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยผ่อนคลายกระดูกสันหลัง และช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวแล้วล่ะ และเป็นการนวดอวัยวะที่บริเวณท้องอีกด้วย สามารถดูที่การทำท่านี้ได้จาก : Cat-Cow

ภาพจาก Pexels

Downward-Facing Dog

ท่านี้เป็นท่าที่เหมาะสมที่จะทำช่วงเช้าเป็นอย่างมากเพราะจะช่วยให้การทำงานของสมองนั้นดีมากยิ่งขึ้นช่วยเพิ่มพลังงานให้กับสมองและร่างกาย และยังเป็นท่ายืดเหยียดบริเวณหลังอีกด้วยช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ยิ่งถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนที่มีอาการปวดหลังและมันกระทบต่อการนอนหลับท่านี้เป็นท่าที่ช่วยได้มากเลยทีเดียว การทำท่านี้อาจจะทำสลับกับท่าอื่น ๆ และนอกจากจะเป็นท่าที่ช่วยในการผ่อนคลายและยืดเหยียดบริเวณกล้ามเนื้อหลังแล้วยังเป็นท่าที่ใช้ในการบริหารข้อมือและหัวไหล่ด้วย สามารถดูวิธีการทำท่านี้ได้ที่ : Downward-Facing Dog

ภาพจาก Pexels

Standing Forward Bend

ท่านี้เป็นท่ายืดเหยียดโดยท่ายืนและก้มซึ่งจะช่วยผ่อนคลายสมองได้ดีรวมถึงช่วยลดอาการเหนื่อยล้าความเครียดและความวิตกกังวลได้ดี กระตุ้นการทำงานของไตและตับรวมถึงระบบย่อยอาหาร ซึ่งท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อบริเวณหลังจนไปถึงขาเลยทีเดียว สามารถดูวิธีการทำท่านี้ได้ที่ : Standing Forward Bend

ท่ายืดเหยียดทั้งหมดที่ได้อยู่ในบทความนี้เป็นท่าที่ใช้ในการยืดเหยียดตอนเช้าได้ดีแล้วเป็นท่าออกกำลังกายในรูปแบบของโยคะ การทำท่ายืดเหยียดไปพร้อมกับการกำหนดลมหายใจก็จะช่วยให้การออกกำลังกายขอดูแบบโยคะเป็นไปได้ด้วยดีด้วย แล้วถ้าหากใครรู้สึกมีอาการเมื่อยล้าบริเวณหลังจนถึงต้นขาในช่วงเวลาตื่นนอนก็ลองทำท่าดังกล่าวดู เผื่อจะช่วยลดอาการเมื่อยล้าและอาการปวดเมื่อยลงได้บ้าง

ข้อมูลจาก Healthline

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

เคล็ดไม่ลับป้องกันมะเร็ง

     ในชีวิตคนเราอาจมีโอกาสสัมผัสสารก่อมะเร็งโดยที่เราเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เช่น สารอะฟลาทอกซิน ในอาหารแห้งอย่างมันสำปะหลัง พืชผัก ผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง อาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อย่างปาท่องโก๋ มลพิษทางอากาศ ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้อง

แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่โดยตรง ยังมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปอด การทานผักผลไม้ที่ไม่ได้ปลอดสารพิษ ยาฆ่าแมลง และพยาธิ แม้แต่ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ต้องเลือกสรรอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพก่อนรับประทานกันด้วยนะคะ

Cr.pic;freepik.com

  – หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและสารก่อมะเร็ง  ปัจจุบันคนเราใช้ชีวิตเร่งรีบ ทำให้ผู้คนนิยมซื้ออาหารสำเร็จรูป อาหารจานด่วน กับข้าวถุง ซึ่งอาจปนเปื้อนสารที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกาย เช่น อาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ เช่น ปาท่องโก๋ ทอดมัน ถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุ ผักที่ไม่ล้างให้สะอาด กล่องโฟมที่ถูกความร้อนของอาหาร อาจมีสารปนเปื้อนออกมา อาหารผสมสีสังเคราะห์ ที่รับประทานไม่ได้ อาหารปิ้งย่าง ไหม้เกรียม

– อะฟลาทอกซิน  เป็นสารพิษที่ปนเปื้อนมาในอาหารแห้ง เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง  และสารนี้ไม่สามารถถูกทำลายโดยการปรุงสุกด้วยความร้อน ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้ และสารไนโตรซามีน เกิดจากการทานเนื้อสัตว์หมักที่ไม่สุก สารที่ปนเปื้อนดินประสิว มีส่วนช่วยให้เนื้อสัตว์แดง เช่น แหนม ไส้กรอก กุนเชียง แต่สารนี้สามารถหายไปได้ เมื่อนำไปปรุงสุกด้วยวิธีการต่างๆ

Cr.pic;freepik.com

– ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ การดื่มเหล้าบ่อยๆจะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งตับแข็งได้ และการสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่เป็นประจำโดยที่เราไม่ได้สูบนั้นทำให้เสี่ยงเกิดมะเร็งปอด และมะเร็งกล่องเสียงได้ แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดได้ เพราะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิด

– อันตรายจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมแร่ใยหิน เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง ทำให้มีโอกาสสูดดมสะสมในปอดทีละน้อย และร่างกายไม่สามารถกำจัดสารเหล่านี้ออกไปได้ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปอดได้ในอนาคตและโรคแอสเบสโตซีสได้ในอนาคต แสงแดด การถูกแสงแดดนานๆ อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

Cr.pic;freepik.com

– หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย เป็นการป้องกันระดับหนึ่ง เช่น คลำพบก้อนผิดปกติในร่างกาย ตกขาวปริมาณมากและผิดปกติ มีเลือดกะปริบกะปรอยที่ไม่ใช่ประจำเดือน การขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย

 นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก พันธุกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้อง พฤติกรรมเสี่ยงทิอาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น การมีคู่หลายคน เช่น คนที่เป็นหูดหงอนไก่ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก ไอเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ น้ำหนักลดผิดปกติและเบื่ออาหาร การติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรมจมูก

      สมัยนี้แค่ศัลยกรรมก็สวยได้ ศัลยกรรมเป็นเรื่องธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มโอกาสในหน้าที่การงานให้กับตัวเอง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่างานบางประเภทก็อาศัยบุคลิกหน้าตา และส่งเสริมในเรื่องของความรักให้ปังขึ้นไปอีก  ปัจจุบันมีหลายเทคนิคที่ช่วยเสริมจมูกให้ได้เหมาะสมกับเค้าโครงหน้าของสาวๆแต่ละคน เราไปทำความเข้าใจการเสริมจมูกก่อนตัดสินใจทำกันดีกว่า พร้อมรีวิวคลินิกทำจมูกทรงสวย ราคาน่ารักให้กับทุกคนอีกด้วย

เทคนิคการทำจมูก มี 2 เทคนิค

Cr.pic;freepik.com

1.การเสริมจมูกแบบปิด ใช้เวลาทำน้อย ผ่าตัดออกมาได้ทรงสวย ราคาถูก แถมใช้เวลาพักฟื้นน้อย แผลหายไว แต่ถ้าหากเกิดปัญหาต้องแก้ไขจมูกอีกหล่ะก็ อาจไม่สามารแก้ปัญหาได้ง่ายเหมือนเทคนิคเสริมจมูกแบบเปิด มีโอกาสที่จมูกทะลุ หากใส่ซิลิโคนให้จมูกโด่งเกินไป

Cr.pic;freepik.com

2.การเสริมจมูกแบบเปิด เป็นการผ่าตัดเสริมจมูกด้านหน้า ทำให้ทำยาก และใช้เวลานานกว่า ใช้เวลาพักฟื้นนาน สามารถแก้ไขรูปร่างจมูกได้ตลอด จมูกดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ลดโอกาสการเกิดจมูกทะลุ  จมูกเบี้ยวและเอียง

Cr.pic;freepik.com

เตรียมตัวก่อนเสริมจมูก

   จะมีอะไรกันบ้างที่สาวๆควรเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะเป็นคนใหม่ที่สวยขึ้นกว่าเดิม

1.งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ก่อนเสริมจมูก อย่างน้อย1เดือน เพราะมีสารที่ทำให้แผลหายช้า

และไม่ดีต่อสุขภาพ

2.งดยากลุ่มแอสไพริน ยาแก้ปวดอย่าง ไอบรูโพรเฟน ยาวาฟาริน เพื่อลดอาการฟกช้ำและลดอาการเลือดออกง่ายหยุดยากอย่างน้อย 2 สัปดาห์-1 เดือน

3.งดวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิด เพราะหลังผ่าตัดจะทำให้เกิดรอยฟกช้ำ เลือดออกง่ายหยุดยาก อย่างน้อย 3 สัปดาห์

4. สำหรับใครที่มีโรคประจำตัควรแจ้งให้แพทย์ทราบโรคประจำตัวก่อนผ่าตัด เพราะจะได้ป้องกันความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด

5.ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ก่อนเวลาผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง

6.งดแต่งหน้า ล้างหน้า อาจใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้าไปก่อน และแคะจมูก เพราะอาจทำให้จมูกผิดรูปได้

Cr.pic;freepik.com

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

1.ประคบเย็น บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ห้ามประคบปริเวณจมูก หลังจากผ่าตัดจมูกครบ3วัน สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ

2.ห้ามนอนตะแคง ควรใช้หมอนรองคอ เพื่อให้นอนตรงๆ จัดท่านอนหงาย ศรีษะสูง เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และลดอาการยุบบวมที่จมูกได้เร็วขึ้นอีกด้วย

3.หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่จมูก

4.ห้ามแผลโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน หลังจากนั้น สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ

5.งดทานอาหารเผ็ดร้อน อาหารทะเล ของหมักดอง อาหารแสลงต่างๆ

6.ทานยาตามที่แพทย์ให้อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ ห้ามหยุดยาอัตโนมัติ

7.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย1เดือน

8.งดใส่แว่นตา เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจมูก

9.งดการสั่งน้ำมูก ไอ จาม และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการไอ จาม สั่งน้ำมูก

10.รับประทานอาหารที่ทำให้แผลหายเร็ว เช่น โปรตีนจากไข่ขาว

   ทั้งนี้เราควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีชื่อเสียง ตรวจสอบว่าศัลยแพทย์ที่มาศัลยกรรมให้เรามีใบประกอบวิชาชีพหรือไม่ มีการจดทะเบียนการค้าของคลินิคอย่างถูกต้อง การเสริมจมูกนั้น ต้องทำโดยตรงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ศึกษาเรื่องค่าใช้จ่าย

เปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าแต่ละคลินิคก่อนตัดสินใจทำ อ่านรีวิวจากโลกออนไลน์ เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิตติเวช เพียงเท่านี้คุณก็มั่นใจได้แล้วว่าคลินิกศัลยกรรมจมูกที่คุณเลือกนั้น จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

กฎเหล็ก ป้องกันกระดูกเสื่อม

   กระดูกเสื่อม ภัยเงียบที่มาพร้อมตัวเลขของอายุที่เพิ่มขึ้น แล้วเราควรป้องกันภาวะกระดูกเสื่อม ด้วยวิธีไหนกันดีหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงอิริยาบถที่มีแรงกดข้อ เช่น การแบกของหนัก การจัดสิ่งแวดล้อมให้เป็นระเบียบ และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบในการป้องกันกระดูกเสื่อมกันค่ะ

Cr.pic; https://www.khonkaenram.com/

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกาย เป็นวิธีช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมที่ง่ายที่สุด ควรเลือกเป็นการออกกำลังกายแบบทรงคิวหรือแบบสร้างสมดุล เพื่อกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและเสริมให้กระดูกแข็งแรง รวมถึงออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อต่างๆ ก็ข้อเสื่อมได้

Cr.pic; https://www.khonkaenram.com/

2.ทานอาหารบำรุงข้อ มีอาหารหลายชนิดที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ปลาแซลมอน อัลมอนด์ แครอท แอปเปิ้ล น้ำมันมะกอก ที่ช่วยลดข้อเสื่อม นอกจากนี้ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงควรกินอาหารที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกเช่น นมสด ไขมันต่ำ แคลซียม, ปลาเล็กปลาน้อย, ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อย ทางที่ดีควรรับประทานร่วมกับน้ำส้ม หรือน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เพื่อจะได้มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกและพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาดุก เนื้อไก่ ยอดผัก เช่น ชะอม และรับวิตามินดีจากแสงแดดเป็นประจำ  หาเวลารับแสงแดดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสม ได้แก่ 08:00 – 10:00 น. และ 15:00 – 17:00 น.

Cr.pic; https://www.khonkaenram.com/

2. ควรงดสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในบุหรี่จะมีสารนิโคดินที่ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลงและยังทำลายการสร้างกระดูกอ่อนอีกด้วย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้มวลกระดูกเสื่อมได้และยังทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินไปอีกด้วย

Cr.pic; https://www.khonkaenram.com/

4. เลือกทานอาหารเสริมจากสารสกัดธรรมชาติ เช่น น้ำมันปลา, Astaxanthin จากสาหร่ายแดง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนช่วยในการลดการอักเสบของกระดูก และอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย รวมทั้งยังช่วยลดการสูญเสียของมวลกระดูก บำรุงกระดูกให้เข็งแรง เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วยวิตามิน วิตามินดี คอลลาเจนไทพ์ทู เป็นชนิดของคอลลาเจนที่เหมาะสมสำหรับการดูแลข้อต่อที่มีประสิทธิภาพสูง  อีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพของข้อเข่า เพราะมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยเพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรนิค ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำที่ชั้นผิว จึงทำให้ผิวกระจ่างใส

Cr.pic; https://www.khonkaenram.com/

5.ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะน้ำหนักตัวที่มากขึ้นทำให้ข้อเสื่อมได้ในอนาคต และควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถ และปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้ช้าๆและถูกต้อง ป้องกันอาการหน้ามืดขณะเปลี่ยนท่า ควรหาโอกาสขยับตัว ยืดเส้น ยืดสาย

     กระดูกเสื่อม ป้องกันได้ เพียงแค่เราใส่ใจสุขภาพ ดูแลตนเองตั้งแต่การเลือกรับประทานอาหาร เช่น ช็อกโกแลต มะเขือเทศ องุ่น ถั่ว มีสารเรสเวอราทรอล ชะลอการทำลายคอลลาเจนในกระดูกอ่อน  สาหร่ายสีน้ำตาลในแกงจืด มีสารที่ช่วยลดการทำลายผิวข้อของกระดูก ยับยั้งสารทำลายกระดูกอ่อน  น้ำทับทิม ลดการปวดเข่า และเลือกการออกำลังกาย

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

“ออฟฟิศซินโดรม”

1.ไม่ควรนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่ลุกออกไปไหนเลย

เมือมีอาการ ควรพักการทำงานเพื่อผ่อนคลายร่างกายและสมอง  วิธีแก้ง่ายมากคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนั่ง ถ้าทำได้พยายามลุกเดินจากที่นั่งทุกๆ1ชั่วโมง จะลดอาการปวดได้แน่นอน การลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายที่จะเป็นการยืดกล้ามเนื้อด้านหน้าสะโพก ที่เรียกว่า hip flexor  เดินไปสูดอากาศด้านนอก ไม่ควรนั่งทำงานติดกันนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อ กลุ่มที่ทำอาชีพ พนักงาน หริอสายผลิตสายวาดสายเขียนดูแลสุขภาพกัน เพราะถ้ามันเรื่อรังแล้วจะบำบัดต้องใช้เวลานาน

Cr.pic: https://www.pueasukkapab.com/

2. นั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง

การนั่งทำงาน ไม่ควรนั่งหลังค่อมหรือนั่งเอนหลัง เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการล้าและเสียบุคลิก ควรจะนั่งหลังตรง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดอาการปวดหลัง แต่ยังทำให้สุขภาพหมอนรองกระดูกดีขึ้น ป้องกันโรคข้อ บรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้การไหลเวียนของออกซิเจนดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้อีกด้วย

Cr.pic: https://xn--12cas3c2av3m3a0g7c.com/

3. ไม่ควรเพ่งหน้าจอคอมนานๆ

ควรปรับจอคอมให้ตรงกับระดับสายตา กล้ามเนื้อร่างกายยังต้องการพักผ่อน สายตาเองก็เช่นกัน จึงไม่ควรเพ่งจอคอมนานหรือใกล้จนเกินไป ควรพักสายตาทุกๆ 1 ชั่วโมง เพราะหากเราเพ่งสายตากับจอคอมนานเกินไป อาจส่งผลทำให้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อตาและปวดศีรษะได้

Cr.pic: https://cwtower.com/th/

4. ปรับสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้น่าอยู่

มีอากาศถ่ายเทที่ดี  โต๊ะทำงานต้องเป็นแบบปรับระดับได้ ถ้าพอมีกำลังทรัพย์ ลองเอาเบาะรองนั่งมาใช้แบรนด์ของ bewell ที่ทั้งมันหนาและนุ่ม แสงไฟในห้องควรจะมีความเหมาะสม ไม่จ้าหรือสลัวเกินไป จะช่วยถนอมสายตาได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญในห้องทำงานควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีแสงแดดหรือแสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาในห้องโดยตรง เพราะแสงที่สว่างเกินไปจะก่อให้เกิดแสงสะท้อนที่จอได้ง่าย ทำให้รู้สึก ไม่สบายตาได้

ปวดข้อมือ เนื่องจากการใช้เมาส์  อาจจะรู้สึกปวดข้อนิ้วหรือข้อมือได้ แนะนำหาที่วางเมาส์และข้อมือเสริมด้วยจะดีกว่า

Cr.pic: www.pobpad.com/

5. การออกกำลังกาย

ออกกำลังกายอันนี้คือดีที่สุดจะ Cardio  โยคะ อะไรก็ได้ มันได้เปลี่ยนอาริยาบทการนั่ง เป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายของผู้มีอาการออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อแล้ว ยังป้องกันเอ็นและข้อยึด ช่วยผ่อนคลายความเครียด และสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้อีกด้วย

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

ไต อวัยวะสำคัญที่คุณควรดูแล

ไตมีหน้าที่สำคัญในการขับของเสียในร่างกายออกทางปัสสาวะเป็นของเสียที่มาจากการทำงานของอวัยวะต่างๆมาจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายนอกจากนั้นใดยังสร้างสารพี่ควบคุมความดันโลหิตและสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงกำจัดสารพิษสารเคมีออกจากร่างกายอีกด้วย

      ถ้าเกิดภาวะไตวายไตหยุดทำงานเราจะมีอาการเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียนอ่อนเพลียโลหิตจางกระดูกผุ น้ำท่วมปอดของเสียตกค้างในกระแสเลือดเกิดอาการปัสสาวะน้อยปัสสาวะลำบากความดันโลหิตสูงปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติทำให้มีอาการบวมที่มือและเท้า ท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่ออวัยวะอื่นๆให้หยุดทำงานและเสียชีวิตได้

สาเหตุของโรคไตวายที่พบบ่อยมาจากโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูงโรคไขมันในเส้นเลือดสูงโรคเก๊าท์และนิ่วในไต

มาดูอาหารบำบัดที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของไตและอาหารที่ควรเลี่ยงมีดังต่อไปนี้

ผักที่มีโพแทสเซียมไม่สูงสามารถรับประทานได้ : ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วงอก แตงกวา บวบ มะระกะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักบุ้ง ฟัก มะเขือยาว เห็ดหูหนู

ผักที่ควรหลีกเลี่ยง : คะน้า กวางตุ้ง ดอกกะหล่ำบล็อคโคลี่ ขึ้นฉ่าย ผักชี แครอท ฟักทอง มันฝรั่งเผือกข้าวโพด ถั่วลิสง ถั่วแระ หัวปลี

ผลไม้ที่ควรกิน/ไม่ควรกิน

ผลไม้ที่ควรเลือกรับประทาน : แอปเปิ้ล องุ่น ชมพู่เงาะ ลองกอง พุทรา มังคุด ส้มโอ สับปะรด แตงโม

ผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง : มะม่วง กล้วย มะขามหวานมะปราง มะเฟือง ฝรั่ง ขนุน ทุเรียน น้อยหน่า ลำไย แก้วมังกร

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง : ไข่แดง นม นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต เต้าหู้ เนย คุกกี้

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง : อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน หมูยอ ปลาเค็ม อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ของหมักดอง ซอส ซีอิ๊วน้ำปลา เกลือ

เราควรหันมาดูแลบำรุงไตของเราตั้งแต่วันนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และดื่มน้ำมากๆ

เพื่อสุขภาพที่ดี สำหรับเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่เรานำมาฝากในวันนี้ เราหหวังว่าจะเป้นประโยชน์ต่อผู้อ่านเพื่อดูแลบำรุงไตของตัวเองให้ดีขึ้นต่อไปนะคะ

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

โรคกระเพาะลำไส้กับหน้าฝน เรื่องใกล้ตัวที่หลายคนควรระวัง 

ปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่หลายคน อาจจะได้พบเจออย่างแน่นอน คือปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคกระเพาะ และลำไส้ในช่วงหน้าฝน สิ่งนี้หลายครั้งอาจจะเกิดขึ้นได้กับตัวคุณ เพราะว่าการรับประทานอาหาร และสถานที่นั้นไม่เอื้ออำนวย ไม่ใช่ว่าอาหารนั้นจะไม่ถูกสุขลักษณะ แต่ในบางทีมันก็มีการปนเปื้อนในช่วงเวลาที่เรากำลังประทานได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณอย่างแน่นอน แต่คุณทราบไหมว่าทุกวันนี้มีวิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นอยู่ ซึ่งคุณสามารถปฏิบัติตามได้ดังต่อไปนี้ 

1. พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงทิ้งเอาไว้เป็นเวลานาน ในช่วงฤดูฝน 

แบคทีเรีย + ความชื้น สิ่งนี้สามารถเพิ่ม และเร่งการเจริญเติบโตได้หลายเท่าตัว แน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อระบบการทำงาน และการย่อยอาหารของคุณ วิธีการหลีกเลี่ยง ควรจะรับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่ ซึ่งจะสามารถช่วยลดอาการท้องเสีย ท้องร่วง ในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าอาการเหล่านี้นั้นจะไม่เกิดขึ้นกับคุณอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากคุณมีอาการ ขอแนะนำสิ่งที่สามารถช่วยคุณได้ น้ำเกลือแร่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน 

2. ขอแนะนำให้กระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยการรับประทานวิตามินซีเพิ่ม 

ในช่วงหน้าฝนนี้คุณสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณได้ด้วยวิตามินซี ซึ่งจะมีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสในร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากนี้ยังสามารถทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาหน้าฝน และจะลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดไข้ไอจามได้อีกด้วย รับรองได้เลยว่ามีประโยชน์มาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และป้องกันปัญหาเรื่องอาการท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ในช่วงหน้าฝนอย่างแน่นอน 

3. ควรจะหลีกเลี่ยงการนั่งรับประทานอาหาร ใกล้บริเวณที่มีละอองฝนตกใส่ 

หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยสนใจข้อมูลเหล่านี้มากนัก ละอองฝนนั้นสามารถทำให้แบคทีเรียฟุ้งกระจายขึ้นได้จากพื้นดิน ซึ่งจะมีโอกาสสูงมากในการปนเปื้อนกับอาหารที่คุณรับประทานอยู่  สำหรับคนที่ภูมิต้านทานต่ำก็อาจจะมีอาการท้องเสียหรือท้องร่วงโดยทันที วิธีการหลีกเลี่ยงไม่ควรจะรับประทานใกล้กับบริเวณฝนตก 

หรือถ้าหากมีอาการ ขอแนะนำให้คุณนั้นดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อช่วยบรรเทา แต่ถ้าหากไม่ดีขึ้นจริง ๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์ จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด และทันท่วงที 100% 

สรุป 

ฝนเป็นฤดูกาลที่ชุ่มฉ่ำสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ก็ต้องบอกก่อนเลยว่าแฝงมาด้วยภัยอันตรายเหมือนดาบสองคมเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงทางด้านสุขภาพมาก คุณควรจะต้องระวัง ซึ่งถ้าคุณใช้วิธีการเหล่านี้ในการปกป้อง และดูแลสุขภาพของตัวเอง คุณก็จะ เบาใจจากเดิมได้อย่างแน่นอน 

ขอขอบคุณภาพจาก  https://pixabay.com/

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

เร่งรีบแบบนี้…จะรักสุขภาพในยุคปัจจุบันยังไงดี

                อันนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ สำหรับภาวะเร่งรีบในยุคที่ต้องรีบเร่งตลอด สังคมโลกในยุคปัจจุบัน เน้นไปที่ความรวดเร็วและการแข่งขัน ทำให้มีเวลาดูแลตัวเองลดน้อยลงๆ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา สาเหตุหลักๆ เกิดจากเรื่องอาหารการกินด้วยกันทั้งสิ้น ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกรวดเร็วมากกว่า จึงมองข้ามเรื่องสุขภาพ และอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของตนเอง

                เราจะรักสุขภาพในยุคเร่งรีบได้อย่างไร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มกจะนิยมรับประทานอาหารจานด่วน ให้เวลาในเรื่องอาหารลดลง เพื่อเพิ่มเวลาการทำงานให้มากขึ้น กิจวัตรประจำวันเลยไม่มีความสมดุล เป็นการเปิดโอกาสให้สารพัดโรคตามมา ส่งผลเสียต่อร่างกายของตนเองในที่สุด ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต้องเริ่มจากเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นการรับประทานอาหารพวกผัก

สำหรับใครที่ไม่ชอบกินผัก ใช้วิธีดัดแปลงให้ดูน่ากินหรือกินคู่กับอาหารที่ชอบ จะทำให้กินได้ง่ายมากขึ้นเลยล่ะ เราจะเห็นได้จากเครื่องมือในการทำครัวทำมาเพื่อตอบโจทย์สุขภาพทางเลือกได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทางออกสำหรับคนรักสุขภาพที่มีความหลากหลายความต้องการ อาจจะเห็นได้จาก

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเรื่องการทำอาหาร จะตอบโจทย์ด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น เครื่องสกัดน้ำผลไม้แบบทั้งแยกกากและไม่แยกกาก หม้อทอดไร้น้ำมัน
  • เครื่องครัวบางอย่างเน้นความสะอาดในการเก็บล้าง เช่น กระทะหินอ่อน ตะหลิวฉนวนทนร้อน รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงที่ออกแบบมาสำหรับ Low-Fat โดยเฉพาะ
  • การทำอาหารแบบเบนโตะ หรือหิ้วปิ่นโต ก็ยังช่วยในเรื่องสุขภาพที่ดี เพราะเรารู้จักเลือกสรรมากขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายที่จะต้องออกไปทานนอกบ้าน

ปัจจุบันเรามักจะใช้ยาเป็นที่พึ่งเมื่อเจ็บป่วย ไม่สบาย โดยให้เหตุผลว่าดักการเจ็บป่วยในยามรีบเร่งไว้ก่อน แต่ลืมไปว่านั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หากจะรักสุขภาพของตนเองจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเสียใหม่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และให้เวลากับตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ หันมาดูแลสุขภาพด้วยวิธีทางธรรมชาติ เช่น ใช้พืช ผัก สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน เพราะยาแผนปัจจุบันบางชนิดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งมันไม่ใช่ผลดีเลย

                อย่างไรก็ตามเราก็ไม่พ้นการดูแลสุขภาพด้วยวิถีทางธรรมชาติ เพราะเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการอย่างมาก แม้แต่เรายังต้องการสูดอากาศบริสุทธิ์ ทานอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอ ให้ร่างกายไก้พักผ่อน จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ดีที่สุด ซึ่งมันคือทางออกที่ดีเพียงทางเดียวสำหรับสุขภาพที่ดีในระยะยาว และการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

เพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างไรเมื่อต้องออกกำลังกาย

พลังงานเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเมื่อเราต้องออกกำลังกายซึ่งพลังงานนั้นก็มาจากอาหารที่เราต้องรับประทาน แต่การรับประทานมากไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อการออกกำลังกายได้อาจจะทำให้มีอาการจุกขณะที่ออกกำลังกายหรือมีแก๊สมากจนทำให้บางครั้งมีการเรอขณะที่ออกกำลังกาย

แต่ถ้าหากรับประทานอาหารน้อยไปทำให้ร่างกายไม่มีพลังงานทำให้การออกกำลังกายก็ไม่มีประสิทธิภาพอีกเช่นเดียวกันบางครั้งการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่างก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดหัว เวียนหัวได้นั่นเอง ดังนั้นเราควรรับประทานอาหารให้พอดิบพอดีก่อนออกกำลังกายและช่วงเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นเดียวกันในการรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกาย

ภาพจาก Pexels

เราควรรับประทานอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมงถึง 4 ชั่วโมงก่อนที่จะออกกำลังกายในแต่ละครั้งเพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาการย่อยอาหารที่เพียงพอ และสารอาหารที่รับประทานเข้าไปก็ต้องเพียงพอต่อการออกกำลังกายด้วยเช่นเดียวกันคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ร่างกายมีพลังงานในการออกกำลังกายยิ่งออกกำลังกายหนักก็ต้องยิ่งรับประทานอาหารที่มีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลกลูโคสมากเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานมากเพียงพอที่จะออกกำลังกายอย่างหนัก โดยมีการแนะนำว่าในการออกกำลังกายแต่ละครั้งอาจจะมีการรับประทานข้าวโอ๊ต พร้อมกับนมที่มีไขมันต่ำผักผลไม้รวมไปถึงกล้วย จากสารอาหารจำพวกนี้ให้กูโคตรและคาร์โบไฮเดรตสูงรวมไปถึงโปรตีนด้วย คาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้พลังงานและโปรตีนจะช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

ภาพจาก Pexels

แต่ถ้าหากเป็นคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายตอนเช้าการรับประทานอาหารก่อนการออกกำลังกาย 1-4 ชั่วโมงอาจจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นในการออกกำลังกายช่วงเช้าก็อาจจะกินอาหารมื้อเล็กๆ ที่ย่อยง่ายตัวอย่างเช่น แอปเปิล, กล้วย หรืออาจจะกินไข่ต้ม ซึ่งจะเหมาะกับการออกกำลังกายในระยะเวลาประมาณ 30 นาที อีกหนึ่งตัวช่วยที่มีในปัจจุบันนี้ที่ทุกคนสามารถหาได้ง่ายนั่นก็คือน้ำผสมโปรตีนหรือนมโปรตีนที่มีขายอยู่ในร้านค้าสะดวกซื้อ สำคัญเลยก็คือการรับประทานอาหารในช่วงเช้าจะช่วยสร้าง metabolism ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการลดน้ำหนัก

ภาพจาก Pexels

อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นเพียงแค่คำแนะนำ สิ่งที่เราควรทำก็คือเชื่อสิ่งที่ร่างกายเราบอก ถ้าร่างกายฟ้องว่าควรพักก็ควรพักไม่ควรออกกำลังกายหักโหม ถ้าร่างกายบอกว่าไม่เหมาะกับการรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายก็ไม่ควรรับประทาน ร่างกายต้องการการปรับตัวเหมือนกับเราดังนั้นหากจะต้องการเปลี่ยนแปลงหลังสิ่งบางอย่างภายในร่างกายก็ควรที่จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ร่างกายนั้นมีความเคยชิน ขอให้ทุกคนออกกำลังกายอย่างมีความสุข

ข้อมูลจาก CNN

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com