Categories
good food

8 เมนูอาหารช่วยลดความดันโลหิตสูง

การเลือกทานอาหาร มีส่วนสำคัญมากในการช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี การที่เราเลือกสรรทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม แม้ว่าเราจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วก็ตามที ก็จะช่วยลดและควบคุมระดับความดันโลหิตของเราได้ดีขึ้น ในบทนี้จึงขอแนะนำเมนูอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้มาฝากสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และยังไม่ป่วยก็สามารถติดตามกันได้ ใครอยากทราบแล้วว่า มีเมนูอาหารอะไรบ้าง เรามาติดตามกันเลย

  1. กระเทียม นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นิยมใช้ในการช่วยลดและควบคุมระดับความดันโลหิตกันในปัจจุบัน ได้มีผลการวิจัยค้นคว้าสรรพคุณของกระเทียม ในการช่วยลดระดับความดันโลหิตของกระเทียม  ได้ผลปรากฏออกมาว่า กระเทียมช่วยในการเพิ่มปริมาณสารไนตริกออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งจะเข้าไปช่วยกระตุ้นหลอดเลือดให้เกิดการขยายตัว และส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้
  2. น้ำมันมะกอก เป็นไขมันดีที่อุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีระดับความดันโลหิตลดลงได้ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำมันมะกอกจะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงก็ตาม  แต่ถ้าหากเราบริโภคมากจนเกินไปอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นควรทานในปริมาณที่พอสมควร
  • ดาร์กช็อกโกแลต เป็นช็อกโกแลตที่ประกอบไปด้วยโกโก้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำตาลน้อยกว่าปกติ มีผลการศึกษาวิจัย พบว่า ผู้บริโภคดาร์กช็อกโกแลตมีระดับความดันโลหิตตัวบนลดลงโดยเฉลี่ยถึง 3 มิลลิเมตรปรอท ระดับความดันโลหิตตัวล่างลดลงโดยเฉลี่ยถึง 2 มิลลิเมตรปรอท การทานดาร์กช็อกโกแลตจึงอาจเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตลงได้ และควรทานไม่เกิน 100 กรัมต่อวัน
  • ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง อย่างเช่น ปลาแซลมอนปลาแมคเคอเรล ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีสรรพคุณช่วยลดระดับความดันโลหิต และลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
  • เมล็ดพืชและถั่ว เมล็ดพืช อย่างเช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทองแบบไม่โรยเกลือ เต็มไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม ใยอาหาร และสารพฤกษเคมีต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ นอกจากนั้น ประเภทถั่ว ถั่วพิสตาชิโอ นั้นถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีสรรพคุณในด้านนี้ด้วยเช่นกัน
  • นมพร่องมันเนยและโยเกิร์ต ถือว่าเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี และมีไขมันต่ำอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า จากการทดลองผู้หญิงที่รับประทานโยเกิร์ต 5 หน่วยบริโภคขึ้นไปต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ถึงร้อยละ 20 ทีเดียว แต่ว่าเราควรตรวจสอบปริมาณน้ำตาลที่เติมลงไปบนฉลากบรรจุภัณฑ์ก่อนที่จะซื้อมาทานทุกครั้งด้วย เนื่องจากการเติมน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมากอาจกลายเป็นโทษต่อร่างกายมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์
  • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่นั้นมีสารอาหารที่สำคัญอย่างสารฟลาโวนอยด์ (Flavoniods) ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า การบริโภคบลูเบอร์รี่มีส่วนช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง และลดระดับความดันโลหิตลงได้ด้วย
  • ผักใบเขียว ในผักใบเขียวที่เราทานมีโพแทสเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเไตขับโซเดียมออกมาผ่านทางปัสสาวะ และปรับปริมาณโซเดียมภายในร่างกายให้เกิดความสมดุล ทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้ โดยผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม เช่น ผักกาด คะน้า

ปวยเล้ง เป็นต้น

นี่ก็คือ 8 เมนูอาหารที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้ ใครที่โป่วยเป็นความดันโลหิตสูงอยู่ ลองนำไปเป็นเมนูที่เลือกทานในแต่ละมื้อกันดู แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องสุขภาพที่จะนำมาฝากกันต่อได้อีกในทุกสัปดาห์จะนำเรื่องสุขภาพอะไรมาฝากกันอีก ต้องติดตาม

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

10 คุณประโยชน์ของ “ กีวี” สุดยอดของผลไม้

กีวี ชื่อของผลไม้ชนิดหนึ่งเปลือกผลสีเขียวหม่นๆ เนื้อในสีเขียวสดกว่าเปลือกภายนอก เป็นผลไม้จากต่างประเทศ ที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปในเมืองไทย ราคาอาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้แพงจนเกินที่เราจะซื้อมาทานกันได้ ส่วนใหญ่แล้วนิยมทานเป็นผลไม้สดๆปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นแว่นบางๆแช่เย็นไว้ทาน และก็มีการนำไปปั่นเป็นน้ำกีวีใส่น้ำแข็งปั่นเย็นๆอร่อยชื่นใจไปอีกแบบ บทนี้จึงขอนำคุณประโยชน์ของกีวีมาฝากกัน ใครที่ชอบทานกีวี อยากทราบแล้ว เรามาติดตามกันเลย

  1. กีวีช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลร้าย แอลดีแอล ( LDL Cholesterol)และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด แล้วยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี เฮชดีแอล (HDL Cholesterol)ให้แก่ร่างกายของเราได้อีกด้วย จึงมีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจให้แก่เราได้ด้วย
  2. ในปริมาณกีวี 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 105 มิลลิกรัม เชื่อไหมว่ากีวีมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 3 เท่า การที่เราทานกีวีจึงช่วยในการป้องกันโรคหวัดหรือโรคภูมิแพ้ได้ และยังมีส่วนในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
  3. ในกีวีมีสารลูทีนและซีแซนทีนอยู่ด้วย จึงสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคทางสายตาได้ เช่น ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ลดความเสื่อมของเซลล์ดวงตา ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก ป้องกันโรคต้อกระจก โรคจุดรับภาพเสื่อม และตาฝ้าฟาง เป็นต้น
  • กีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยอยู่ในปริมาณสูงและให้พลังงานต่ำ โดยกีวี 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกายเพียงแค่ 55 แคลอรี่ การที่เราทานกีวีจึงสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้กีวียังมีแร่ธาตุ วิตามินและไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่าง
  • การที่เราทานกีวีจะช่วยทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุที่กีวีมีสารเซโรโทนินที่จะมีส่วนในการช่วยให้เราสามารถนอนหลับได้อย่างสบายมากขึ้น เพราะว่าสารที่ชื่อเซโรโทนินนี้จะช่วยคลายความเครียด ลดความวิตกกังวลต่างๆให้แก่เราได้นั่นเอง
  • กีวี 100 กรัม มีโพแทสเซียมสูงถึง 312 มิลลิกรัม การทานกีวีจึงสามารถช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิต โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอีกด้วย
  • ในน้ำมันเมล็ดกีวี จะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่จึงมีสรรพคุณช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย
  • กีวีมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ แคโรทีน ลูทีน แซนทีน จึงช่วยต้านมะเร็งและยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้
  • กีวีเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารอยู่สูง จึงช่วยในการกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ ทำให้อุจจาระนิ่ม ใยอาหารจะช่วยป้องกันท้องผูก โรคริดสีดวงทวาร และป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรทานกีวี เพราะว่ากีวีมีโฟเลตซึ่งดีต่อทารกในครรภ์โฟเลตเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

ทั้งหมดนี้คือ 10 คุณประโยชน์สุดยอดของผลไม้ที่ชื่อกีวี ที่นำมาฝากกันในบทนี้ ใครที่ไม่ค่อยได้ซื้อกีวีมาทาน หรือว่าไม่ชอบทาน ลองหาซื้อมาทานกันดู แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่ได้ในทุกสัปดาห์กับเรื่องสุขภาพที่จะนำมาฝากกัน จะเป็นเรื่องอะไร ต้องคอยติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

9 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ป้องกันโรค

การดื่มเครื่องดื่มที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายจะช่วยเสริมให้เรามีสุขภาพกายที่แข็งแรงมากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้ด้วย เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เรามีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วเราจะรู้สึกสบายตัวสบายใจสดชื่นแจ่มใสพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาทุกๆอย่างที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างดีมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง

ดังนั้นการเลือกเครื่องดื่มที่เราจะดื่มในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอๆกับการที่เราจะต้องไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพ หรือรักษาอาการเจ็บป่วยของร่างกายทีเดียว ในบทนี้จึงขอนำ 9 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ป้องกันโรค มาฝากทุกคนกัน ใครอยากทราบแล้ว ว่ามีเครื่องดื่มอะไรบ้าง เรามาติดตามไปพร้อมๆกันเลย

  1. น้ำเปล่า ช่วยขจัดสารพิษ

น้ำเปล่าคือเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด เพราะว่าน้ำเปล่ามีหน้าที่ในการลำเลียงสารอาหารไปยังเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีส่วนในการช่วยขจัดสารพิษภายในร่างกาย และช่วยปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย ซึ่งในแต่ละวันๆ เราควรจะดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 1.5 ลิตร

  • โยเกิร์ต ช่วยขจัดสารพิษ

โยเกิร์ตมีทั้งสารแคลเซียมและโพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อน้ำในร่างกาย ช่วยในการบำรุงสายตา และผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดีด้วย

  • นม ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก

นมนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมสูงและโปรตีนที่ง่ายต่อการย่อย ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดี อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยทำให้เส้นเลือดเกิดการยืดหยุ่นดีอีกด้วย

  • ชา ช่วยป้องกันโรคฟันผุ

ชานอกจากจะช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้แล้ว ยังมีส่วนช่วยป้องกันฟันผุได้อีกด้วย เนื่องจากชาเขียวและชาดำมีสารฟลูออไรด์ปริมาณมาก จึงช่วยป้องกันฟันผุได้ดี ควรดื่มชาอุ่นๆ ไม่ควรดื่มชาที่เหลือค้างคืน

  • น้ำลูกแพร์ ช่วยป้องกันความเครียด

ลูกแพร์มีกรดโฟลิกสูง ที่ช่วยทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้เรามีอารมณ์ที่สดใสร่าเริง และช่วยป้องกันความเครียดได้ดี

  • น้ำแอปเปิล ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

น้ำแอปเปิลช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนพลังและมีสมาธิได้ดี แถมยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย แอปเปิลที่เราใช้ในการทำเป็นเครื่องดื่มสุขภาพนั้น ไม่ควรเป็นแอปเปิลที่ผ่านการแว็กซ์ หรือหากไม่มั่นใจว่าแอปเปิลที่ใช้ผ่านการแว็กซ์หรือไม่ แนะนำให้ปอกเปลือกทิ้งจะดีที่สุด

  • น้ำมะเขือเทศ ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก

น้ำมะเขือเทศช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากมะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และป้องกันไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัยอีกด้วย แนะนำให้มะเขือเทศผ่านความร้อนก่อนเอามาทำเป็นเครื่องดื่ม เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายได้รับไลโคปีนมากขึ้น

  • น้ำแครอท ช่วยบำรุงสายตา

ดื่มน้ำแครอทช่วยบำรุงสายตา ทั้งนี้ควรกินอาหารที่มีไขมันหลังจากดื่มน้ำแครอท เพื่อให้การดูดซึมวิตามินเอจากแครอททำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป เพราะจะทำให้วิตามินเอถูกกักเก็บไว้ในตับ

  • น้ำผักสด ช่วยป้องกันโรคอ้วน

น้ำผักสด จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำผลไม้สด เหมาะสำหรับใครที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างมาก โดยเครื่องดื่มชนิดนี้แนะนำให้เลือกใช้ผักสดปลอดสารพิษ เอามาปั่นหรือคั้นโดยไม่เติมน้ำตาล จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก

นี่ก็คือ 9 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ป้องกันโรค ที่นำมาฝากกัน ลองนำไปเป็นทางเลือกในการดื่มเครื่องดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ ในแต่ละวันของเรากัน แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเคล็ดลับเรื่องสุขภาพที่จะไปสรรหามาฝากกันอีกได้ในทุกสัปดาห์ จะเป็นเคล็ดลับสุขภาพเรื่องอะไรกันบ้าง ต้องมาติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 สรรพคุณที่มีคุณค่าต่อร่างกายของกระเจี๊ยบแดง

น้ำกระเจี๊ยบแดง เครื่องดื่มที่เรานิยมดื่มกันมากในปัจจุบัน มีสีแดงสดๆสวยน่าทาน ส่วนมากแล้วจะนิยมดื่มแบบเย็นๆใส่น้ำแข็ง หรือว่าแช่ตู้เย็นให้เย็นฉ่ำ แล้วค่อยนำมาดื่มแก้กระหายดีมากในเวลาที่อากาศร้อนจัดๆ

มีรสหวานๆอมเปรี้ยวนิดๆอร่อยชื่นใจ แล้วยังมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราหลายอย่างทีเดียว ในบทนี้จึงขอนำ สรรพคุณที่มีคุณค่าต่อร่างกายของน้ำกระเจี๊ยบมาฝากกัน ใครที่ชอบดื่มน้ำกระเจี๊ยบเป็นประจำเหมือนๆกัน เราต้องมาติดตามกันเลย

  1. กระเจี๊ยบแดงช่วยแก้กระหาย

การดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเย็นๆ จะช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นมากขึ้นได้ และยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำในร่างกายด้วย วิธีการทำน้ำกระเจี๊ยบแดงแบบง่ายๆ เพียงให้เราใช้ดอกกระเจี๊ยบแห้งสักประมาณหม้อเล็กๆ ก็ให้ใช้สัก 4-5 ดอก  นำมาใส่ต้มในน้ำร้อน จนน้ำออกสีแดงสดๆ เติมน้ำตาลนิดหน่อย แต่ถ้าใครไม่อยากทานหวานก็ไม่ต้องใส่ แค่นี้ก็จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีแดงๆ ใส่น้ำแข็งเย็นๆทานแล้วชื่นใจเอาไว้ดื่มแล้ว

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยลดไขมัน

สำหรับใครที่มีน้ำหนักตัวมากเกินพอดี มีไขมันเยอะ ควรทานน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ จะช่วยในการป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลในร่างกายสูงมากจนเกินไป ทั้งยังช่วยบำรุงเลือดได้ด้วย

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจางเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย  การทานน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ เพราะสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้น มีธาตุเหล็กที่เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกาย ในการช่วยไม่ให้ร่างกายของเราเกิดภาวะโลหิตจางได้

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันการเกิดนิ่ว

การที่เราทานน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในท่อปัสสาวะ และโรคไตได้ เพราะในกระเจี๊ยบแดงจะมีสารที่ช่วยขับกรดบางชนิด ที่เป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วได้ เช่น กรดยูริก แคลเซียม และโพแทสเซียม

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยในการรักษาแผล

หากว่าเรามีแผลต่างๆตามร่างกายที่เป็นแผลสด ให้เรานำใบสดๆของต้นกระเจี๊ยบแดง มาล้างทำความสะอาดให้ดี จากนั้นก็นำมาบดให้ละเอียดจนเป็นน้ำ แล้วก็นำมาพอกตรงแผลที่เราเป็นอยู่  จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และก็ทำให้แผลของเราหายเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

กระเจี๊ยบแดงนั้นถือเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติพิเศษ อย่างหนึ่ง คือ จะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ เนื่องจาก สารแอนโธไซยานิน ที่มีอยู่ในกระเจี๊ยบแดง เป็นสารที่จะช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัว และไม่ไปเกาะกับหลอดเลือดที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ จึงทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีความสมดุลมากขึ้น การที่เราดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ ก็เท่ากับการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจไปด้วยนั่นเอง

  • กระเจี๊ยบแดงช่วยบรรเทาอาการไข้

การทานใบกระเจี๊ยบแดงในตอนที่เรากำลังป่วยเป็นไข้ จะช่วยทำให้ร่างกายเรารู้สึกดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยละลายเสมหะในลำคอได้อีกด้วย

นี่ก็คือ 7 สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงที่มีคุณค่าต่อร่างกายของเราที่นำมาฝากกันในบทนี้ ใครที่ไม่ค่อยชอบทาน ต้องรีบหันไปทานกระเจี๊ยบแดงให้มากขึ้นกันเลย  แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องสุขภาพที่น่ารู้ใกล้ตัวที่จะนำมาฝากกันอีกในทุกสัปดาห์ จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องรอติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

แปรงฟันอย่างไรให้ฟันมีสุขภาพที่ดี

การแปรงฟันถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของเราทุกคนที่ต้องทำเป็นประจำทุก ๆ วันเพื่อให้สุขภาพของความมีสุขภาพที่ดีและช่วยลดปัญหาในช่องปาก โดยพวกเราทุกคนอาจจะแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งตอนเช้าและก่อนนอนแต่สำหรับบางคนอาจจะมีการเพิ่มการแปรงฟันช่วงกลางวันหลังจากรับประทานอาหารเสร็จอีก 1 ครั้ง

แต่ในทุกครั้งที่เราแปรงฟันระยะเวลาที่ใช้ในการแปรงฟันของแต่ละคนก็มีแตกต่างกันออกไปบางคนก็ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีบางคนก็ใช้เวลานานเกินกว่า 1 นาที แต่เราควรใช้เวลากับการแปรงฟันนานเท่าไหนล่ะถึงจะเหมาะสมและทำให้ฟันของเรามีสุขภาพที่ดีรวมไปถึงสุขภาพช่องปากและเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Pexels

ตั้งแต่ในช่วงปี 1970 เป็นต้นมาทันตแพทย์จะมีการแนะนำว่าให้แปรงฟันอย่างน้อยครั้งละ 2 นาทีโดยใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม ถึงจะทำให้มีสุขภาพของช่องปากและสุขภาพฟันที่ดี แต่ดูเหมือนว่าการแปรงฟันอย่างน้อย 2 นาทีต่อ 1 ครั้งอาจจะยังไม่พอถึงแม้ว่าจะทำให้สุขภาพฟันและสุขภาพช่องปากดีขึ้นแต่ว่าก็ยังไม่ได้ดีมากที่สุด

จากงานวิจัยตั้งแต่ในช่วงปี 1990 เป็นต้นมาค้นพบว่าการแปรงฟันเกิน 2 นาทีจะมีประสิทธิภาพในการช่วยลดคราบแบคทีเรียในฟันในระยะยาวได้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามไม่มีความชัดเจนมากนักว่าผลของการแปรงฟันเกินกว่า 2 นาทีในระยะยาวจะช่วยทำให้สุขภาพของฟันและช่องปากดีมากขึ้นแค่ไหนเพราะว่าเป็นเรื่องยากต่อการทำวิจัยนั้นเอง

ภาพจาก Pexels   

ทุกวันนี้เราแปรงฟันเพื่อที่จะทำความสะอาดฟันเพียงเท่านั้นโดยอาจจะยังไม่ได้มีความละเอียดมากมายมากนักในการแปรงฟันบางครั้งในบริเวณที่แปรงสีฟันไม่สามารถเข้าถึงก็จะมีแบคทีเรียสะสมอยู่ได้ จนก่อเกิดกลายเป็นหินปูนภายในฟันซึ่งจะมีลักษณะเหนียว

ถ้าหากว่าไม่แปรงฟันอย่างถูกวิธีหรือละเลยการแปรงฟันในบางวันก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาในช่องปากอย่างเหงือกอักเสบทำให้ในเวลาเราแปรงฟันอาจจะมีเลือดออกตามเหงือกได้ รวมไปถึงทำให้มีกลิ่นปากและฟันผุได้ในที่สุด

ภาพจาก Pexels

ดังนั้นเมื่อเราแปรงฟันในแต่ละครั้งก็ควรที่จะส่องกระจกและแปรงฟันทีละซี่ให้สะอาดให้ได้มากที่สุดโดยระยะเวลาในการแปรงฟันยิ่งเยอะมากเท่าไหร่ก็จะทำให้ฟันเราสะอาดมากขึ้นเท่านั้น รวมไปถึงไม่ควรแปรงมากเกินไปในแต่ละวันเพราะอาจจะทำให้เหงือกอักเสบได้นั่นเองและการใช้แปลงก็มีผลต่อสุขภาพฟันและช่องปากด้วยเช่นเดียวกันเราควรเลือกแปรงสีฟันที่มีความนุ่มของขนแปรงเพื่อถนอมช่องปากของเรา การเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแข็งอาจจะทำความเสียหายในบริเวณช่องปากได้ หลังจากที่แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วในบริเวณที่แปรงสีฟันแม่สามารถเข้าไปทำความสะอาดได้อาจจะใช้ไหมขัดฟันในการช่วยในการทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวเพื่อลดคราบหินปูนและคราบแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก CNN

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 คุณประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงร้อนๆ

น้ำขิงร้อนๆสักแก้ว ในยามบ่ายๆที่เราต้องการเวลาพักผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน หรือว่าภารกิจประจำวันที่เราต้องทำในแต่ละวัน เป็นเวลาอันแสนวิเศษที่บางครั้งเราแทบจะไม่อยากกลับมาทำงาน หรือว่าทำหน้าที่ของเราต่อเลยทีเดียว ในบทนี้จึงขอนำคุณประโยชน์ของน้ำขิงร้อนๆมาฝากกัน ใครที่ชอบดื่มน้ำขิงร้อนๆในยามพักผ่อนเหมือนกัน เราต้องมาติดตามกันเลย

  1. การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยในการบรรเทาอาการหวัดได้

 การที่เราดื่มหรือจิบน้ำขิงร้อนๆสักแก้ว ในยามที่เราป่วยเป็น     ไข้หวัดอยู่ด้วยนั้น น้ำขิงร้อนๆจะช่วยลดเสมหะและน้ำมูกลงได้ และยังจะช่วยค่อยๆ ทำให้อาการหวัดของเราดีขึ้นด้วย

  • การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยในการรักษาโรคกรดไหลย้อน

การที่เราดื่มหรือจิบน้ำขิงร้อนๆ ในระหว่างวันในขณะที่เราทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวันไปด้วยบ่อยๆนั้น จะช่วยในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ดี

  • การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยในการป้องกันมะเร็ง

น้ำขิงร้อนๆที่เราดื่มเข้าไปเป็นประจำนั้น จะมีส่วนในการเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่มีชื่อว่า กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอเรส (Glutathione S-transferase) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้

  • การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด

น้ำขิงมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี จึงเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ว่าอย่างไรก็ตามเราควรดื่มน้ำขิงภายใต้การดูแลของแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย

  • การดื่มน้ำขิงร้อนๆลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง

ในน้ำขิงมีโซเดียมต่ำ การที่เราดื่มน้ำขิงร้อนๆเป็นประจำ จึงสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้ด้วย

  • การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะไมเกรน

การที่เราจิบน้ำขิงร้อนๆ ก่อนจะถึงช่วงเวลาที่เราทราบว่าไมเกรนจะกำเริบนั้น จะทำให้อาการปวดศรีษะลดน้อยลงได้ เพราะว่าในน้ำขิงนั้นมีสรรพคุณที่ช่วยในการยับยั้งฮอร์โมนเกี่ยวกับอาการอักเสบได้

  • . การดื่มน้ำขิงร้อนๆช่วยในการลดอาการท้องอืด

น้ำขิงนั้นเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน จึงสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการขับถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อาการท้องอืดของเราดีขึ้นได้นั่นเอง

นี่ก็คือ 7 คุณประโยชน์ในการดื่มน้ำขิงร้อนๆที่นำมาฝากกันในบทนี้ การดื่มน้ำขิงร้อนๆนั้นจะดีกว่าการดื่มน้ำขิงแบบเย็นๆใส่น้ำแข็ง เพราะว่าน้ำขิงแบบเย็นๆนั้นจะช่วยดับกระหายน้ำให้เราได้เพียงอย่างเดียว คุณประโยชน์อย่างอื่นที่กล่าวมาจะอยู่ในน้ำขิงร้อนๆ เท่านั้น ทราบแล้วก็ขอให้เราดื่มน้ำขิงร้อนๆกันให้บ่อยขึ้น แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องสุขภาพที่น่ารู้ใกล้ๆตัวเราที่จะนำมาฝากกันอีกได้ในทุกสัปดาห์ จะเป็นเรื่องอะไรกันบ้าง ต้องรอติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 อาหารช่วยต้านโรคหวัด

โรคหวัด ไม่ใช่เฉพาะในหน้าฝนเท่านั้น ที่เราจะสามารถติดเชื้อหวัดได้ ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ พวกเราสามารถติดเชื้อโรคหวัดได้อยู่เสมอ จากสภาพแวดล้อม ที่มีแต่มลพิษแทบทุกแห่งบนโลก แถมในตอนนี้ยังมีโรคระบาดโควิด-19 อีกต่างหาก แหล่งเสื่อมโทรม ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่เป็นแหล่งกระจายเชื้อโรคได้อย่างดี ในบทนี้จึงขอนำ 7 อาหารที่ช่วยต้านโรคหวัดมาฝากทุกคนกัน เพื่อจะได้ทราบว่าในแต่ละวันเราควรจะทานอาหารอะไรบ้าง เพื่อช่วยป้องกันเชื้อโรคหวัด อย่างน้อยก็จะทำให้เรามีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้มากขึ้น ใครอยากจะทราบกันแล้ว เรามาติดตามกันเลย ว่ามีอาหารอะไรบ้างนะ

  1. ผลไม้ตระกูลส้ม

ลูกกลมๆสีส้มๆสวยสดใส มีหลายพันธุ์ให้เราเลือกทานไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวานหรือส้มพันธุ์อื่นๆ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูงมาก การทานส้ม จึงช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้เป็นหวัดได้ง่าย นอกจากนี้ส้มยังเป็นผลไม้ที่ช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะ และยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

  • โยเกิร์ต

ในโยเกิร์ตนั้นอุดมไปด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กนับล้านๆตัว การทานโยเกิร์ตจึงสามารถช่วยเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มสารแอนติบอดี้บางชนิดในร่างกายได้ ทำให้ช่วยในการบรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้ได้ด้วย

  • เมนูยำรสเด็ด

เพราะว่าในส่วนประกอบของยำแต่ละประเภทนั้นมักจะมีส่วนประกอบไปด้วยหอมหัวใหญ่ พริกขี้หนู กระเทียม ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการป้องกันโรค เช่น แก้หวัด คัดจมูก แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เหมาะที่จะทานมากๆในช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น ยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร ยำทะเล เป็นต้น

  • น้ำผลไม้สมูทตี้ และน้ำสมุนไพร

โบกมือลาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วเปลี่ยนมาเป็นการดื่มน้ำผักผลไม้ หรือน้ำสมุนไพรแทน เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้ดี โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เป็นหวัดแล้ว ควรดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำเปล่าอุ่นๆ จะช่วยลดน้ำมูกและช่วยบรรเทาอาการหวัด หรือน้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำสมุนไพรที่เราทำเองได้ง่ายๆมีประโยชน์มากๆโดยเฉพาะกับผู้ที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จากโรคหวัด ให้นำต้นตะไคร้มาหั่นเป็นท่อนๆ แบบบุบพอแตก ต้มกับน้ำเปล่าให้เดือด ดื่มหรือจิบบ่อยๆ จะช่วยในการบรรเทาอาการหวัดได้ แต่ถ้ายังไม่เป็นหวัดก็สามารถต้มน้ำตะไคร้ดื่มแบบเย็นๆได้เช่นกัน ถือเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ

  • อาหารที่มีวิตามินซีสูง และสารต้านอนุมูลอิสระ

อาหารที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ หาทานได้ไม่ยาก อยู่รอบตัวเราทั้งนั้น ซึ่งอาหารที่มีสารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคและช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อได้อีกด้วย เช่น กะหล่ำปลี แครอท ผักใบสีเขียวจัดๆ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น

  • ซุปไก่ร้อนๆ

การทานเมนูซุปไก่จะช่วยลดอาการคัดจมูก ควรเติมผักเข้าไปในซุปด้วยจะดีมาก เพื่อเพิ่มสารอาหาร เช่น หอมใหญ่ ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ มันฝรั่ง ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย แถมยังช่วยลดอาการไอได้ด้วยสิ

  • อาหารรสเผ็ด

อาหารที่มีรสเผ็ดจะช่วยให้เรารู้สึกจมูกโล่ง หายคัดจมูกได้ ก็คือเมนูอาหารรสเผ็ดร้อนอะไรก็ตามที่มีพริกเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกแห้ง รวมไปถึงพริกไทย และสมุนไพรรสเผ็ดร้อนอื่น ๆ เมนูง่ายๆที่มีพริกเป็นส่วนประกอบเช่น พริกขี้หนูในต้มยำ พริกชี้ฟ้าในผัดเผ็ด พริกไทยในแกงเลียง พริกแห้งในลาบ หรือใครที่ทานเผ็ดไม่ได้ แนะนำให้ทำน้ำขิงร้อนๆดื่มแทนก็ได้ ก็จะช่วยให้ระบบการหายใจทำงานคล่องขึ้นเช่นกัน

นี่ก็คือ 7 อาหารช่วยต้านโรคหวัด ที่นำมาฝากกันในบทนี้ ลองนำไปเป็นหลักในการเลือกทานเมนูอาหารที่ช่วยต้านโรคหวัดเหล่านี้กัน ในมื้ออาหารที่เราต้องทานในแต่ละวัน แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเคล็ดลับเรื่องสุขภาพที่จะไปสรรหามาฝากกันอีกได้ในทุกสัปดาห์ จะเป็นเคล็ดลับสุขภาพเรื่องอะไรกันบ้าง เราต้องมาติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 สรรพคุณของบลูเบอร์รี่ ผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ

บลูเบอร์รี่ ผลไม้ที่มีสีม่วงสวยสดเข้มๆ เป็นผลไม้จากเมืองนอก ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในบ้านเราตามซุปเปอร์มาร์เกตห้างสรรพสินค้า ในปัจจุบันนี้มีการนำเอาบลูเบอร์รี่มาทำเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋อง

โหลแก้ว หลายประเภท หลายยี่ห้อ ทั้งจากเมืองนอก และในบ้านเราเอง มีการนำผลบลูเบอร์รี่ไปผสมกับนม โยเกิร์ต มากมายหลายชนิด หลายยี่ห้อเช่นกัน ในบทนี้จึงขอนำสรรพคุณที่มีดีต่อสุขภาพของบลูเบอร์รี่มาฝากทุกคนกัน ใครที่ชอบทานผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมหรือว่าทำมาจากผลบลูเบอร์รี่เหมือนๆกัน เรามาติดตามกันเลย

  1. การทานบลูเบอร์รี่ช่วยในการบำรุงเลือด บำรุงผิวพรรณ ในบลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) อยู่ เป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง สารนี้จะมีส่วนในการช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ทำให้การไหลเวียนของเลือดอยู่ในระดับที่เล็กมากขึ้น
  2. ช่วยในการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินา ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่จะช่วยในการบำรุงผิวพรรณของเราให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด ดูผิวสวยแบบสุขภาพดีขึ้น
  3. การทานบลูเบอร์รี่ช่วยในการบำรุงหัวใจ การทานอย่างเป็นประจำต่อเนื่อง ช่วยลดการแข็งตัวของเลือดและไตรกีเซอไรด์ลงได้ ในคนที่มีภาวะโรคหัวใจ ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจจ่ายยาที่มีแอสไพรินเพื่อลดการแข็งตัวของเลือด การทานยาประเภทนี้อาจมีผลข้างเคียงกับร่างกายหลายอย่าง หากทานบลูเบอร์รี่อย่างต่อเนื่องได้ก็จะช่วยต่อต้านการเกิดภาวะดังกล่าวได้
  • การทานบลูเบอร์รี่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดีขึ้น บลูเบอร์รี่มีไฟเบอร์อยู่สูงมาก จึงมีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราทำงานได้ดีขึ้น และถ้าในบางวันที่เราทานเนื้อสัตว์เข้าไปเยอะๆ อาจทำให้เรามีภาวะจุกเสียดแน่นท้องได้ เพราะว่าอาหารไม่ย่อย ให้เราลองทำน้ำบลูเบอร์รี่สมูทตี้ ดื่มตามมื้ออาหาร สาร Actinide ที่อยู่ในบลูเบอร์รี่จะเป็นตัวช่วยย่อยโปรตีนได้ดี
  • การทานบลูเบอร์รี่ช่วยบำรุงสมอง อีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่สำคัญมากๆ ของบลูเบอร์รี่ ก็คือ บลูเบอร์รี่สามารถช่วยบำรุงระบบประสาทได้ ทำให้สมองทำงานได้เต็มที่ ทำให้ความจำดีขึ้น ถ้าทานอย่างต่อเนื่องยังสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อมในวัยสูงอายุได้ด้วย
  • การทานบลูเบอร์รี่ช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างดี ในผลบลูเบอร์รี่ มีกากใยสูงถึง 3.6 กรัม และยังมีแคลอรี่ต่ำ จะทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
  • การทานบลูเบอร์รี่ช่วยในการชะลอเซลล์มะเร็งได้ การที่เราทานบลูเบอร์รี่เป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งภายในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • บลูเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ บลูเบอร์รี่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงมาก มากที่สุดในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ การที่เราทานบลูเบอร์รี่จึงช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระต่างๆ ที่จะมาทำลายผิวให้เกิดริ้วรอย และยังช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกไป พร้อมเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิมออกมาอีกด้วย

นี่คือ 7 สรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพของบลูเบอร์รี่ที่เรานำมาฝากกันในบทนี้ ใครที่ไม่ค่อยได้ซื้อผลิตภัณฑ์บลูเบอร์รี่มาทาน ต้องลองไปหาซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของบลูเบอร์รี่มาทานกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ เพื่อผลดีต่อสุขภาพของเราเอง แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องสุขภาพที่จะนำมาฝากกันต่อได้ในทุกสัปดาห์ ต้องคอยติดตามกันว่าจะเป็นเรื่องอะไรบ้าง

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 สรรพคุณของน้ำเก๊กฮวยที่ดีต่อสุขภาพ

น้ำเก๊กฮวย ที่เราหาซื้อดื่มได้ทั่วไปตามร้านขายอาหาร หรือว่าในปัจจุบันนี้มีการบรรจุกระป๋องจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือว่าซุปเปอร์มาร์เกตทั่วๆไปด้วย ดื่มน้ำเก๊กฮวยเย็นๆแล้วช่วยดับกระหายน้ำได้ดี มีกลิ่นรสชาติ

ที่หอมหวานอร่อย และนอกจากความหอมหวานเย็นชื่นใจของน้ำเก๊กฮวยแล้ว น้ำเก๊กฮวยยังมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราด้วย บทนี้จึงขอนำสรรพคุณ 7 ข้อของเก๊กฮวยมาฝากกัน ใครที่ชอบดื่มน้ำเก๊กฮวย เรามาติดตามกันเลย

  1. เก๊กฮวยช่วยดับร้อน ดอกเก๊กฮวยนั้นมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในร่างกายของเราได้ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้กระหาย แก้ไข้ ให้เราใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัมนำมา ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
  2. เก๊กฮวยดีต่อระบบหัวใจของเรา เก๊กฮวยเป็นพืชสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพของหัวใจ เก๊กฮวยมีฤทธิ์ในการช่วยลดระดับความดันโลหิตภายในร่างกายได้ และยังได้รับการยืนยันจากทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ระบุว่า เก๊กฮวยช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
  3. เก๊กฮวยช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะการที่เราดื่มชาเก๊กฮวยร้อน ๆ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้ ให้เราใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
  • เก๊กฮวยช่วยในการแก้วิงเวียนได้ หากว่าเรามีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน ตามตำราโบราณนั้นมีสาแหตุเนื่องมาจากการกำเริบของหยางในตับ หรือความสมดุลของตับนั่นเอง เราสามารถใช้เก๊กฮวยร่วมกับโกศสอ น่าจะหาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนโบราณ และสมุนไพรฤทธิ์เย็นชนิดอื่นๆเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
  • เก๊กฮวยช่วยแก้อาการตาบวมแดงได้ มาจากในตำรับยาสมุนไพรของจีนมักใช้ดอกเก๊กฮวยผสมกับใบหม่อน เก๋ากี้ หรือชุมเห็ดไทย รักษาอาการตาบวมแดงจากการตากลม หรือตาบวมแดงจากภาวะตับพร่อง ไฟในตับมาก โดยใช้ดอกสดล้างสะอาด ตำให้แหลก แล้วนำมาประคบที่ดวงตาที่มีอาการ
  • เก๊กฮวยช่วยในการรักษาผมร่วง มาจากตำรับยาจากประเทศเวียดนามใช้ดอกเก๊กฮวยสดตำละเอียดแล้วกลั่นเอาแต่น้ำมาหมักผม โดยชาวเวียดนามเชื่อว่าดอกเก๊กฮวยสามารถช่วยรักษาอาการผมร่วงได้ และยังช่วยให้สีผมดำ เงางามขึ้นด้วย ทั้งยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร
  • เก๊กฮวยช่วยในการรักษาแผลฝีหนอง และแผลบวม โดยให้เราใช้ดอกเก๊กฮวยสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด บดผสมน้ำแล้วดื่ม และจากนั้นก็ให้นำกากดอกเก๊กฮวยที่เหลือจากการต้มน้ำดื่มอยู่นั้นมาพอกตามแผลที่เป็นฝีหนองและแผลบวมด้วย

และนี่ก็คือ 7 สรรพคุณของน้ำเก๊กฮวย ที่เราชอบดื่มกันที่นำมาฝากกันในบทนี้ ใครที่ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเก๊กฮวย ลองหันไปดื่มน้ำเก๊กฮวยดูบ้าง เพื่อประโยชน์สรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพของเรา แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องสุขภาพที่จะนำมาฝากกันต่อในทุกสัปดาห์ จะเป็นเรื่องอะไรกันบ้าง ต้องคอยติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good food

7 ผลไม้ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร

หากว่าเรามีอาการแสบท้อง จากโรคกระเพาะ สิ่งที่เราควรทำก็คือ ไม่ทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไปในมื้อเดียว ให้ทานน้อยลง แต่ให้เราเพิ่มเป็นวันละ 4-5 มื้อแทน จะช่วยได้ดีกว่า รวมทั้งให้เราทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ให้มากขึ้นด้วย จึงมีผลไม้ที่จะสามารถช่วยในการบรรเทาอาการแสบท้องจากโรคกระเพาะได้ ข้อมูลที่นำมาฝากนี้มาจากข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ ในบทนี้จึงขอนำ 7 ผลไม้ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร มาฝากทุกคนกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะมีผลไม้อะไรบ้าง เรามาติดตามไปพร้อมๆกันเลย

  1. กล้วย

ประโยชน์ของกล้วยจะช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการนำสารแทนนินจากกล้วยดิบ (ในรูปแบบผงกล้วยดิบชงดื่ม) มาช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร หรือการกินกล้วยน้ำว้า กล้วยหอมสุก เพื่อให้ร่างกายได้รับใยอาหารชนิดละลายน้ำ ที่จะช่วยในการดูดซึมของผนังกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้นได้

นอกจากนี้ในกล้วยยังมีสารชนิดพิเศษที่จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ในกระเพาะอาหารด้วย เสริมสร้างความแข็งแรงให้กระเพาะอาหารทนกรดได้ดีขึ้น อีกทั้งในกล้วยยังมีทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่เมื่อเราทานเข้าไปแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็นเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่จะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกตามธรรมชาติออกมาเคลือบแผลในกระเพาะ ลดอาการแสบระคายท้อง และเซโรโทนินยังช่วยคลายเครียด ช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้นได้อีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นโรคกระเพาะก็ไม่ควรกินกล้วยตอนท้องว่าง เพราะว่าในกล้วยนั้นมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายจำเป็นต้องย่อยเพื่อเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ซึ่งร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก และอาจทำให้คนเป็นโรคกระเพาะหรือโรคกรดไหลย้อนอาการกำเริบได้ ดังนั้นถ้าจะกินกล้วยช่วยลดอาการโรคกระเพาะ ก็ให้เราหลังจากมื้ออาหารแล้ว

  • แอ้ปเปิ้ล

ในแอปเปิ้ลนั้นมีสารเพกตินที่จะช่วยในการเคลือบกระเพาะอาหาร เสริมภูมิต้านทานให้เยื่อบุกระเพาะอาหารทนต่อกรดจากน้ำย่อยได้ดีขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการแสบท้องจากโรคกระเพาะอาหารด้วย

  • มะละกอ

มะละกอเป็นผลไม้ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร อีกทั้งในมะละกอยังมีใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ รวมไปถึงสารเบต้าแคโรทีน และวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และมะละกอยังช่วยในการขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย

  • แคนตาลูป

แคนตาลูปมีสารเบต้าแคโรทีนอยู่สูง จึงสามารช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะอักเสบได้ ช่วยเร่งให้แผลในกระเพาะอาหารหายเร็วขึ้นได้ อีกทั้งในแคนตาลูปยังมีวิตามินซีอยู่ไม่น้อย จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

  • ฝรั่ง

ในฝรั่งนั้นมีสารแทนนินอยู่มาก อีกทั้งในผลสุกของฝรั่งยังมีใยอาหารชนิดเพกตินสูง และยังมีวิตามินซีสูงด้วย เรียกได้ว่ารวมสารอาหารสำคัญๆที่จะช่วยดูแลกระเพาะอาหารของเราได้เป็นอย่างดีทีเดียว การทานฝรั่งจึงช่วยสมานแผล และช่วยลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ของเราได้นั่นเอง

  • มะขามป้อม

มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงกว่าส้มประมาณ 20 เท่า นอกจากนี้มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีรสฝาด ขม จึงมีสรรพคุณรักษาแผลและลดกรดเกินในกระเพาะอาหารได้ อีกทั้งน้ำมะขามป้อมยังช่วยบรรเทาอาการเสียดท้องได้อีกต่างหาก

  • ลูกยอ

ลูกยอจะมีสรรพคุณเด่นในเรื่องช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน และสารที่มีในลูกยอยังจะช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการอักเสบเฉียบพลันของกระเพาะอาหารจากแอลกอฮอล์ได้ด้วย

นี่ก็คือ 7 ผลไม้ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ที่นำมาฝากกัน ลองนำไปเป็นทางเลือกในการเลือกทานผลไม้ ที่จะช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร อาการแสบท้อง จากโรคกระเพาะ ในชีวิตประจำวันของเรากัน แล้วในบทหน้าเรามาพบกันใหม่กับเรื่องเคล็ดลับสุขภาพที่จะไปสรรหามาฝากกันอีกได้ในทุกสัปดาห์ จะเป็นเคล็ดลับสุขภาพเรื่องอะไรกันบ้าง ต้องมาติดตามกันต่อ

ติดตามบทความ good food ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com