Categories
good health

เคล็ดลับบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

     ในระยะตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ รูปร่าง อาการแพ้ท้องต่างๆที่แสดงออกมา และมีการเพิ่มระดับของฮอร์โมนของผู้หญิง ทำให้ช่วงเวลาตลอดระยะของการตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่มีอาการแพ้ท้องได้ ซึ่งแต่ละคนอาการรุนแรงมากน้อยต่างกัน อาการเหล่านี้ทำให้คุณแม่ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ไม่สะดวกเหมือนที่เคย วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นอาการหลักๆของคุณแม่ตั้งครรภ์ ดังนี้

Cr.pic; https://www.huggies.co.th/

สาเหตุของอาการคลื่นไส้อาเจียนมาจาก

1.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้นในตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวส่งผลให้อาหารเคลื่อนตัวลงสู่กระเพาะอาหารช้า กระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยซึ่งเป็นกรดออกมากระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน จึงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

2. มีฮอร์โมนHCGสูง ซึ่งจะกระตุ้นศูนย์ควบคุมการอาเจียนในสมอง ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน

3.ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูก หรือตนเอง กลัวการคลอด ความเครียดจากปัญหาในการทำงานหรือปัญหาในครอบครัว

เคล็ดลับในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน

Cr.pic; https://www.huggies.co.th/

1.  แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์และสามี หลีกเสี่ยงอาหารที่มีกลิ่นกลิ่นฉุน เช่น น้ำหอมที่กลิ่นแรงๆ ทุเรียน ปลาร้า กระเทียม หัวหอม เพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ดูแลรักษาความสะอาดของปาก ทั้งเหงือกและฟันและบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำอุ่น  เพื่อเพิ่มความอยากอาหาร และป้องกันฟันผุ

Cr.pic; https://www.huggies.co.th/

2. ให้คุณแม่แบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ ครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง โดยแบ่งมื้ออาหารหลักเป็น 6 มื้อย่อย เพื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกอยากอาหาร ทำให้ท้องไม่ว่าง กระตุ้นการย่อยอาหาร ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ต้มจับฉ่าย ไก่ผัดขิง ยำหัวปลี แกงจืด อาหารว่างในระยะแพ้ท้อง แล้วมีอาการอาเจียนบ่อย แนะนำให้ทานเป็นขนมปังกรอบและผลไม้ หรือจะเป็นน้ำผลไม้ที่มีน้ำเยอะและคั้นสดด้วยตนเอง เพื่อปราศจากสารกันบูด เช่น แก้วมังกร น้ำส้ม แตงโม  น้ำมะเขือเทศ เพราะจะช่วยให้ผิวขาวอมชมพู และควรดื่มน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน น้ำขิงร้อนๆ เพื่อให้กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี ผิวไม่แห้งกร้าน

Cr.pic; https://www.huggies.co.th/

3. เวลาพึ่งตื่นนอนตอนเช้า ให้ค่อยๆเปลี่ยนท่านอนมาเป็นนั่งห้อยขาที่เตียงงก่อน แล้วค่อยๆลุก เพื่อป้องกันอาการหน้ามืด ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว หลังตื่นนอน พร้อมด้วยอาหารว่างก่อนมื้อหลักเป็นขนมปังกรอบหรือขนมปังปิ้ง ก่อนไปปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเพื่อเป็นการรักษาระดับน้ำตาลในร่างกาย ในระหว่างวันให้ลดความเครียด ลดความวิตกกังวลต่างๆ และพักผ่อนเพิ่มขึ้น หากสามารถงบในเวลากลางวันได้ซัก 15 นาทีต่อวันจะดีมากค่ะ

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์กลับคุณแม่ตั้งครรภ์หลายๆท่านนะคะ เราอยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์ลองไปปรับใช้ดูค่ะ รับรองว่าเห็นผลชัดเจนแน่นอน ช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลายครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ กระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com 

Categories
good health

ไวรัสมรณะ รุนแรงกว่าโควิด-19

      ไวรัสมรณะ หรือไวรัสนิปาห์ กำลังระบาดหนักในประเทศอินเดีย เป็นเชื้อไวรัสชนิดRNAที่ไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีน เสี่ยงเสียชีวิตสูง เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบและมีปัญหาก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ จากประวัติของไวรัสชนิดนี้เคยพบที่ประเทศมาเลเซีย มีการติดเชื้อในหมู และทำให้คนเป็นโรคไข้สมองอักเสบ จากนั้นก็ได้ระบาดที่ประเทศอินเดีย ผ่านเจ้าค้างคาวผลไม้ จากการสัมผัสน้ำลายของค้างคาว และส่งผลให้มีการติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งไม่เหมือนกับประเทศมาเลเซีย คาดว่าอาจจะเป็นคนละสายพันธุ์ เพราะไวรัสนิปาห์ที่แพร่ระบาดในอินเดีย ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนิปาห์เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง แต่ไวรัสนิปาห์ที่แพร่ระบาดในมาเลเซียสมัยนั้น เกิดอาการไม่รุนแรงเท่านี้. 

cr.pic:https://bangkokpost.com

   ไวรัสนิปาห์ สามารถติดเชื้อจากสัตว์สู่คนได้ และสัตว์ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อจากสัตว์สู่คนได้ คือ หมู หมา วัว ควายนั่นเอง คนสามารถติดเชื้อจากสัตว์ผ่านสิ่งคัดหลัง เช่น น้ำลาย และการรับประทานที่มีสารปนเปื้อนของไวรัสนิปาห์

  ไวรัสนิปาห์เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงมากกว่าโควิด-19 หลายเท่าตัว จากการรายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อนี้มีโอกาสเสียชีวิตถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงมากกว่าโควิด-19

cr.pic:https://bangkokpost.com

   รายงานจากสำนักข่าวไทย พบว่าขณะนี้ พบเด็กชายวัย 12 ปี  เสียชีวิตแล้วจากการติดเชื้อไวรัสนิปาห์ และจากการตรวจสอบพบว่าล่าสุดพบผู้ติดเชื้อไวรัสนิปาห์อีก 11 คนที่เริ่มแสดงอาการไข้ ซึม ปวดศรีษะ ส่วนใหญ่จะพบในเด็กและอีกมากกว่า 100 คน ที่ติดเชื้อไวรัสนิปาห์แล้วแต่ยังไม่แสดงอาการ 

cr.pic:https://bangkokpost.com

   ผู้ติดเชื้อมักมีอาการไข้ หายใจไม่ออกหรือหายใจลำบาก ทางระบบประสาท ซึม ปวดศรีษะ หมดสติ ภายใน 48 ชั่วโมง และที่น่ากลัวไม่แพ้กันคือ ไวรัสนิปาห์สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อกลับมาเป็นซ้ำได้

   ดูแลรักษาผู้ป่วยคือการใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อระดับสูงสุด รวมทั้งใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม วิธีตรวจการติดเชื้อจะใช้การตรวจPCRในห้องแลป

cr.pic:https://bangkokpost.com

    วิธีป้องกันโรคคือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งเช่น น้ำลาย ปัสสาวะ อุจาระต่างๆ ของปศุสัตว์ หรือสัตว์ที่เป็นต้นต่อของเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้ อย่างค้างคาวผลไม้ รวมถึงหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ที่ตกอยู่ที่พื้น หรือมีรอยแทะของสัตว์ เพราะอาจปนเปื้อนน้ำลายของสัตว์แล้ว เราอาจจะติดโรคจากผลไม้หรือเนื้อสัตว์ที่วางขายตามท้องตลาดที่ถูกปนเปื้อนนี้ได้ค่ะ และนี่ทำให้ไวรัสนิปาห์ เป็นเชื้อมรณะที่น่ากลัวยิ่งกว่าเชื้อโควิด-19ทุกสายพันธุ์บนโลก

             ไวรัสมรณะ หรือไวรัสนิปาห์ ที่กำลังระบาดหนักในประเทศอินเดีย เป็นเชื้อไวรัสที่รุนแรงกว่าโควิด-19 ไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีน เสี่ยงเสียชีวิตสูงมากๆ เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบและมีปัญหาก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ ทำให้เราต้องรักษาสุขอนามัย และระมัดระวังในการรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาดด้วยนะคะ

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

ทำอย่างไรเมื่อมีอาการหมดไฟ

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิดเริ่มต้นขึ้น เราทุกคนต่างใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมากขึ้นอยู่กับบ้านมากขึ้นใช้ชีวิตตามลำพังและเข้าสังคมน้อยลง มีช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้เกิดกิจกรรมมาใหม่ขึ้นมามากมายกลางเรียนที่บ้านทำงานที่บ้าน ซึ่งบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตเรา และเช่นเดียวกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดก็ทำให้เราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เราทำอยู่เสมอในแต่ละปีอย่างเช่น การออกกำลังกายในพื้นที่สาธารณะ การเดินทางท่องเที่ยว เป็นต้น

ซึ่งการที่เราไม่ได้ทำกิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายนั้นทำให้ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาเรามีแต่เรื่องการทำงานและเรื่องการเรียนอยู่ตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ และการทำกิจกรรมแบบนี้วนไปทุก ๆ วันก็อาจจะทำให้เกิดอาการหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากทำแล้ว เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ซึ่งอาการเหล่านี้ก็คืออาการหมดไฟนั่นเอง

ภาพจาก Pexels

อาการหมดไฟเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคนทุก ๆ คนและไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้และในช่วงปีที่ผ่านมาอาการนี้ก็กลายเป็นอาการยอดฮิตที่หลายๆ คนเป็นกันเลยก็ว่าได้ โดยอาการหมดไฟสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุเป้าหมายที่สูงเกินไป การทำงานหนักเกินไป หรือว่าความเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งอาการหมดไฟนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้และหายเองได้ถ้าหากว่ารู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเองซึ่งแต่ละคนนั้นก็อาจจะใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไปบางคนใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันแต่บางคนก็ใช้เวลาเป็นปีกว่าอาการหมดไฟจะหมดไป ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากว่าปล่อยให้อาการนี้อยู่กับเราเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้เราสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายเสียรวมไปถึงการงานการเรียนก็เสียไปด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเป็นไปได้ก็ควรที่จะจัดการกับอาการนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรืออย่างน้อยก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้

ภาพจาก Pexels

มีวิธีการมากมายที่จะช่วยให้อาการหมดไฟนั้นหายไป ถ้าหากรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังมีอาการนี้อยู่และใช้เวลาอยู่กับงานอยู่กับการเรียนมากเกินไปก็อาจหากิจกรรมอื่นเข้ามาทดแทนอย่างเช่นการอ่านหนังสืออ่านเล่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือถ้าว่ารู้สึกอยู่กับบ้านนานเกินไปหรือไม่ได้พูดคุยกับใครก็อาจจะออกไปเข้าสังคมบ้างหรือแชทหาใครสักคนเพื่อพูดคุยและระบายปัญหาต่าง ๆ ก็สามารถช่วยได้มากเลยทีเดียว งานอดิเรกก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยให้อาการหมดไปนานทุเลาลงได้ ปลูกต้นไม้ เล่นบอร์ดเกม เป็นต้น

แน่นอนว่าบางครั้งการพักผ่อนอยู่เฉย ๆ เพื่อให้อาการหมดไฟนั้นหมดไปก็อาจจะทำให้เรารู้สึกผิดบ้างที่ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถ้าหากว่าเราฝืนทำงานต่อไปก็จะทำให้ส่งผลเสียไปมากกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นการพักผ่อนก็เป็นเรื่องที่ดีมากด้วยเช่นกันและถ้าหากว่าอาการหมดไฟมันหายไป อาจจะทำให้เราสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพจาก Pexels

ข้อมูลจาก CNN

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

รวม 4 เคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อช่วย ในการลดนํ้าหนัก ที่ดีต่อสุขภาพ

    น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตของสรรพสิ่งทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นดิน,ต้นไม้,สัตว์ หรือแม้กระทั่งมนุษย์เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงสาวด้วยแล้ว ถ้าขาดน้ำแล้วก็จะทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติไปและจากการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยส่งเสริมความจำ และอารมณ์อีกทั้งยังส่งผลต่อการทำงานของสมองด้วย ถ้าหากร่างกายขาดน้ำมาก ๆ

สมองก็จะกระตุ้นให้สร้างสารสื่อประสาทที่จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอล ส่งผลกับความเครียดเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นในการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายสามารถ ที่จะช่วยคลายความเครียดลงได้ทั้งยังป้องกันการท้องผูก และพัฒนาความจำระยะสั้นได้อีกทั้งป้องกันการเกิดนิ่วได้ด้วย แถมยังช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นและนอนหลับได้ดี และที่สำคัญช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ด้วย

เคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก

     ในสมัยก่อนมีคนเชื่อว่าการดื่มน้ำนั้นช่วยส่งเสริมในเรื่องของการลดน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือ 30-59% ของคนที่กำลังพยายามลดความอ้วนนั้นเลือกที่จะดื่มน้ำให้มากกว่าเดิม ซึ่งในงานวิจัยจำนวนมากได้พบว่าการที่ดื่มน้ำมาก ๆ นั้นมีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก และควบคุมน้ำหนักของคนเราเป็นอย่างมาก และเคล็ดลับของการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้นมีดังนี้

     1.การดื่มน้ำทำให้เราได้เผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น ในการดื่มน้ำที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ให้เรา โดยร่างกายของเราจะเผาผลาญพลังงานในขณะพัก

      2. การดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารช่วยลดความอยากอาหารได้ ในการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารนั้น จะช่วยลดความอยากในอาหารลงได้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมีส่วนที่เป็นจริงอยู่เหมือนกัน แต่จะเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในวัยกลางคน และสูงอายุเท่านั้น ซึ่งจากงานวิจัยนี้เราจะพบว่า การดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารนั้นมีประโยชน์กับคนที่อยู่ในวัยกลางคนเท่านั้น แต่การวิจัยในกลุ่มคนหนุ่มสาวกลับไม่แสดงผลลัพธ์ในการลดแคลอรี่ในปริมาณที่น่าพอใจเท่าไหร่

    3. การดื่มน้ำมากขึ้นมีความสัมพันธ์กับการรับแคลอรี่ที่ลดลง น้ำเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ซึ่งปกติแล้วจะมีความเกี่ยวข้องกับการได้รับแคลอรี่ที่น้อยลง ซึ่งเป็นเพราะเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ที่มีน้ำตาล และแคลอรี่สูง

    4. ลดความเสี่ยงในการมีน้ำหนักเพิ่ม  ซึ่งได้มีการวิจัยในโรงเรียน โดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนเด็กที่เป็นโรคอ้วน และยังติดตั้งน้ำพุดื่มได้ในโรงเรียนอีก 17 แห่ง และได้สอนเด็กในห้องเรียนเกี่ยวกับการดื่มน้ำซึ่งผ่านไปหนึ่งปีการศึกษา พบว่าความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนของเด็กนักเรียนลดลงถึง 31 เปอร์เซ็นต์ ในโรงเรียนที่มีการติดตั้งน้ำพุไว้

    เพราะฉะนั้นน้ำจึงมีประโยชน์มากในการช่วยลดน้ำหนัก และน้ำยังเป็นเครื่องดื่มที่ไร้แคลอรี่ ซึ่งช่วยให้เราได้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ลดความอยากอาหารได้หากดื่มก่อนการทานอาหาร แต่จะอย่างไรก็ตาม หากต้องการที่จะลดน้ำหนักของตนให้เห็นผลได้ชัดเจน เราจะต้องออกกำลังกายด้วย ซึ่งถ้าหากจะดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย จึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

วิธีการเตรียมตัวก่อนไปฉีดวัคซีน Covid-19 สำหรับเด็กโดยเฉพาะ

            จากภาพรวมของสถานการณ์การติดโรคโควิด – 19 ในเด็กจะมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ และอาการก็มักจะไม่รุนแรง การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน covid-19 ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนที่ได้รับการรับรอง และขึ้นทะเบียนกับ อ ย. ให้ใช้ในเด็ก และวัยรุ่นได้ก็คือ ไฟเซอร์  และในรอบนี้จะมีการนำร่องฉีดให้กับนักเรียนในจังหวัดนนทบุรีก่อน โดยเริ่มในวันที่ 4 – 8 ตุลาคมนี้ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนถึงจะฉีดวัคซีนได้ และสถานที่ฉีดนั้นจะใช้พื้นที่ห้องพยาบาลของแต่ละโรงเรียน โดยวัคซีนไฟเซอร์สำหรับกลุ่มเป้าหมายนักเรียน จะให้ระยะห่างระหว่างเข็ม 1 – 2 อยู่ที่ประมาณ 4 สัปดาห์ และนักเรียนมีจำนวนราว 4.8 ล้านคนทั่วประเทศ

เตรียมความพร้อมเปิดเรียนรับวัคซีนถ้วนหน้า

            จากการหารือกันระหว่างกับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทยมีแนวทาง การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้แก่ การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ให้แก่กลุ่มที่มีอายุ 12 ปีจนถึง 17 ปี 11 เดือน 29 วันในวันที่ฉีด และได้อนุโลมให้กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุเกิน 17 ปี 11 เดือน 29 วันได้ฉีดด้วยในเดือนต.คเป็นต้นไป จะเริ่มฉีดให้กับนักเรียน – นักศึกษา ในพื้นที่ครอบคลุมสูงสุด และเข้มงวดสีแดงเข้ม 29 จังหวัดก่อน

ต้องให้ผู้ปกครองยินยอมก่อนฉีด

สำหรับแผนการฉีดไฟเตอร์ให้กับนักเรียนที่อายุ 12 – 17 ปี ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน และคาดว่าภายในต้นเดือน ตุลาคม 2564 นี้ จะได้ข้อสรุปจำนวนนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดได้

คำแนะนำฉีดไฟเซอร์แก่เด็ก

            ไฟเซอร์เป็นวัคซีนชนิด mRNA ชื่อทางการ BNT162b2 ผู้คิดค้นคือบริษัทไฟเซอร์ ร่วมกับบริษัทสัญชาติเยอรมันไอโบเอ็นเท็ค และได้รับการอนุมัติจาก อย. เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564  และเป็นวัคซีนโควิดรายที่ 6 ที่ผ่านการอนุมัติจาก อย.

คำแนะนำฉีดวัคซีน covid-19 จากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ได้ออกประกาศคำแนะนำ โดยสำรวจผู้ที่มีภาวะเสี่ยง และมีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคดังนี้

            1. โรคอ้วน

            2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง

            3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

            4. โรคไตวายเรื้อรัง

            5. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และโรคมะเร็ง

            6. โรคเบาหวาน

            7 กลุ่มโรคทางพันธุกรรม รวมทั้งเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบสมองอย่างรุนแรง และเด็กพัฒนาการช้า

กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กไทย

            หลังจากได้มีการพบอาการที่ไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน คณะผู้เชี่ยวชาญได้วินิจฉัยว่าเข้าข่ายอาการรุนแรง คือกลุ่มเนื้อหัวใจอักเสบ ประเทศไทยพบแล้ว 1 รายเป็นเพศชายอายุ 13 ปี เป็นโรคอ้วน  แต่ในปัจจุบันรักษาหายเป็นปกติแล้ว จากรายงานอุบัติการณ์ ของอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ  และเนื้อหุ้มหัวใจอักเสบพบ 16 ราย  ใน 1 ล้านโดส ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อาการพบได้ใน 30 วันหลังจากได้รับวัคซีน และพบได้มากในเข็มที่ 2 อัตราการเกิดสูงสุดในเพศชายอายุ 12 ถึง 17 ปี กลุ่มรองลงมาที่พบคืออายุ 18 ถึง 24 ปี และไม่มีรายงานในผู้สูงอายุ

สรุป

ในการฉีดวัคซีนไฟเชอร์ให้กับกลุ่มเด็ก และเยาวชนนั้นให้เป็นความสมัครใจของผู้ปกครองของเด็กไม่ได้บังคับ ดังนั้นผู้ปกครองจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งทั้งนี้ต้องดูที่ประโยชน์ และความเสี่ยงที่ลูกหลานจะได้รับ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเตรียมความพร้อมให้กับเด็กนักเรียนก่อนการเปิดภาคเรียนใหม่ ที่จะถึงนี้

ขอบคุณภาพโดย https://pixabay.com/

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

รีวิวเทคนิคการเลิกบุหรี่ภายใน 21 วัน เห็นผลทันใจจากประสบการณ์ตัวเอง 

สิ่งนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่ใหม่มาก แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับผมผู้ที่มาเล่าเรื่องราวนี้มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่จริง ๆ และเปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปอย่างถาวร นั่นก็คือปัจจุบันผมเลิกบุหรี่ได้แล้วครับ แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้ชีวิตผมนั้นเปลี่ยนแปลงไปจนหลายคนนั้นสังเกต ซึ่งความเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ผมได้นำเรื่องราวมาเขียนเป็นวรรคเป็นตอน จับใจความสำคัญ ซึ่งจะได้เป็นได้เป็นไกด์ไลน์ให้กับคนที่อยากเลิกบุหรี่ทุกคน 

1. ช่วงสัปดาห์แรกของการเลิกบุหรี่ 

ในช่วงสัปดาห์แรกนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ทรมานเป็นอย่างมากสำหรับการเลิกบุหรี่ ผมได้รับประสบการณ์นั้นมาแบบเต็ม ๆ อาการรู้สึกว่าเหมือนสั่นสะท้านไปทั้งตัว คอแห้ง รสชาติจืดเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ได้รสชาติ และความรู้สึกผ่อนคลายก็มีเพียงแค่ลูกโป่ง ผมขอแนะนำให้ซื้อน้ำหวาน แบบขวดเอาไว้ด้วยเอาไว้ชงดื่มจะสามารถช่วยแก้กระหายได้เป็นอย่างดี และพยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลายฟังเพลงด้วยก็จะช่วยได้มากเลยทีเดียว 

2. เลิกบุหรี่ได้ 14 วัน อาการเริ่มดีขึ้น แต่มีความต้องการ เมื่อพบสิ่งล่อตาล่อใจ 

แน่นอนว่าการเลิกบุหรี่มา 14 วันแล้วมันจะทำให้ความอยากของผมเริ่มลดลง แต่ในช่วงนี้ร่างกายนั้นยังปรับตัวไม่คงที่ ซึ่งถ้าหากคุณเลิกบุหรี่มาถึงช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน คุณจะรู้สึกกระวนกระวายเมื่อมีใคร พูดคุยหรือ ชักชวนออกไปข้างนอก คุณก็อาจจะไปพบเจอกับคนสูบบุหรี่เช่นเดียวกัน ขอแนะนำให้คุณเดินทางออกมาสักหน่อย แล้วใช้วิธีการดื่มกาแฟหรือโกโก้ก็ได้ มันจะช่วยทำให้คุณผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน 

3. สภาพร่างกายหลังจากเลิกบุหรี่ ได้ 20 วันแบบต่อเนื่องกัน 

สำหรับผมเมื่อเลิกบุหรี่ได้มา 20 วันเต็ม บอกได้เลยว่าร่างกายนั้นรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก ระบบการหายใจของผมรู้สึกว่าปวดกระดูกมากยิ่งขึ้น 

ส่วนทางด้านการพักผ่อน บอกเลยว่าหลับสบายมากกว่าเดิมหลายเท่า และทานอาหารได้เยอะมากยิ่งขึ้น ๆด้วย จึงทำให้สีหน้าดูดีมากยิ่งขึ้น และรอยคล้ำใต้ตาก็หายไป ซึ่งสามารถทำให้ผมนั้นฟื้นฟูสภาพปอดได้มากกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว และล่าสุดปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง ผมก็ลดน้อยลงไปมาก จึงเข้าสู่ระดับปกติ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะมาจากการเลิกบุหรี่ผมนั่นเอง 

สรุป 

และนี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ของผมที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดภายในระยะเวลา 21 วัน และแน่นอนปัจจุบันผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่อีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งมันทำให้ผมเปลี่ยนแปลงสุขภาพอย่างมาก และเก็บตังค์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผมอยากจะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่คิดอยากจะเลิกบุหรี่ ถ้าหากคุณรู้ถึงข้อดีแบบนี้แล้ว คุณลองวิธีของผมดูนะน่าจะช่วยทุกคนได้ไปพร้อมกันเลยทีเดียวขอให้ทุกคนโชคดี 

ขอขอบคุณภาพจากhttps://pixabay.com/

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

อาการจิตตกปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด หนึ่งในสภาวะโรคซึมเศร้าที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยมาก 

แทบไม่น่าเชื่อว่าปัญหาอาการจิตตกของคนไทยทุกวันนี้เพิ่มสูงขึ้นมากเรื่อย ๆ เพราะว่าปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง covid – 19 น่าจะส่งผลโดยตรงกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน และการดำรงชีวิต แล้วถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ยิ่งทำให้อาการของคุณนั้นย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลใจเสมอไปจะมาแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหา และป้องกันพร้อมทั้งบรรเทาอาการจิตตกก่อนที่คุณจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแท้จริง 

1. วิธีการป้องกัน สภาวะ Languishing

สำหรับผู้มีปัญหาทางด้านสุขภาพ และอาการเหล่านี้หมายถึงอาการที่มองโลกในแง่ลบ ส่วนใหญ่ประมาณ 80% มักจะเป็นกับผู้ที่กำลังเผชิญปัญหากับชีวิตอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านการใช้ชีวิตในปัจจุบันหรือจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ผู้ที่มีปัญหาในลักษณะนี้จะมองโลกกว้างในแง่ลบทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตของตัวเอง วิธีการแก้ไขที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือหางานอดิเรกเพื่อมาเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นงานประดิษฐ์ การเลี้ยงสัตว์หรือตกแต่งต้นไม้ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยทำให้คุณสุขภาพดีขึ้นได้

2. วิธีการป้องกันสภาวะ hurt yourself เนื่องจากความเครียด 

หลายท่านอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสภาวะฮอร์โมนในร่างกาย และอารมณ์ คือทุกคนสามารถเกิดความเครียดจนถึงขั้นอยากจะทำร้ายตัวเองได้ ส่วนใหญ่ประมาณ 80% ของผู้ที่มีปัญหาในลักษณะนี้นั้นจะเป็นกลุ่มคนที่มีสุขภาพจิตที่แลดูปกติมาก ซึ่งเหล่านั้นจะไม่สามารถสังเกตได้โดยง่าย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเก็บกดแบบลึก เนื่องจากความเครียดถูกกดดันบีบบังคับ วิธีการแก้ไขนั่นก็คือ การพบจิตแพทย์โดยตรง หลังจากนั้นควรจะหาคนพูดคุยเป็นประจำ วิธีนี้จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะว่าการระบาย และการสื่อสารจะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ได้ผลดี 100% 

3. วิธีการป้องกันสภาวะ high stress

high stress อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่าความเครียดสะสม ซึ่งเป็นอาการที่คนไทยส่วนใหญ่ตอนนี้พบเจอกันเยอะมาก และทำให้ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทางด้านนาฬิกาชีวิต หรือจะเป็นการใช้ชีวิตโดยรวมวิธีการแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็คือ คุณควรพยายามตั้งสมาธิ และปฏิเสธเรื่องราวทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายนอกไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี

เรื่องที่เลวร้ายก็ตาม ด้วยวิธีนี้จะสามารถทำให้วงจรความเครียดของคุณนั้นลดลงได้ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องพึ่งยาหรือปรึกษาแพทย์แต่อย่างใด และจะเป็นวิธีการป้องกันปัญหาโรคซึมเศร้าในอนาคตที่ได้ผลดีอีกด้วย

สรุป 

ความเครียดอาการจิตตกปัญหาสุขภาพ และความเป็นความตายทางด้านธุรกิจปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำ ให้หลายคนเป็นเพียงแค่โรคจิตตกได้ แต่ถ้าหากคุณรู้จักวิธีการรับมือ คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน หวังว่าจะสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ใน ณ ตอนนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี และผ่านพ้นเรื่องเหล่านี้ไปด้วยกัน 

ขอขอบคุณภาพประกอบโดย 

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com 

Categories
good health

เคล็ดลับกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์

cr.pic:https://th.wikihow.com

 คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ตั้งแต่มี่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ได้เลยค่ะ เพราะลูกน้อยในครรภ์สามารถรับรู้ถึงความรักและสัมผัสไออุ่นรักจากแม่ได้  ซึ่งลูกน้อยของเราสามารถตอบสนองสัมผัสของแม่ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับอายุครรภ์และสภาพแวดล้อมที่ดี คุณแม่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีได้โดยการพูดคุยโต้ตอบกับลูกบ่อยๆ ให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกน้อย  และถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นคนที่อารมณ์ดี มีความสุข ไม่เครียดบ่อยๆ เท่านี้ก็สามารถพัฒนาเซลล์สมองของลูกน้อยให้เจริญเติบโต และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา

วิธีสร้างเสริมพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

cr.pic:https://th.wikihow.com

1.พัฒนาการด้านการได้ยิน ประมาณอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะประสาทสัมผัสและระบบการได้ยินของทารกจะพัฒนาค่อนข้างสมบูรณ์ในช่วงนั้น หลังคลอดเมื่อเปิดเพลงเดิมๆนั้น จะช่วยให้ทารกไม่ร้องกวนและหลับง่ายขึ้น เนื่องจากความเคยชินต่อเสียงเพลงนั้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์เพลงที่ฟังสบาย ๆ แถมยังช่วยบรรเทาความเครียดของคุณแม่ด้วยซึ่งเขาสามารถรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่รอบตัวได้

  การส่งเสริมพัฒนาการทารกในอายุครรภ์เท่านี้ สามารถทำได้โดยการใช้เสียงดนตรีที่มีทำนองจังหวะเบาๆ  เปิดเพลงบรรเลงเย็นๆ เช่น เพลงคลาสสิค เพลงไทยเดิม เพลงสไตล์เบาๆ อย่างน้อย ครั้งละ 10-15 นาทีก็เพียงพอแล้ว  และเสียงหนึ่งที่สำคัญต่อลูกไม่แพ้กันก็คือ เสียงของคุณแม่ คุณแม่ควรพูดคุย หรือเล่านิทาน กล่อมลูกน้อยให้นอนหลับฝันดีเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ลูกเกิดความคุ้นเคยและจดจำน้ำเสียงของแม่ได้

ให้คุณแม่พูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์ด้วยโทรโข่ง จะทำด้วยตนเองก็ได้โดยใช้แก้วน้ำพลาสติก2ใบ แล้วเจาะรูที่ก้นแก้ว เพื่อร้อยเชือกที่ก้นแก้วทั้งสอง ผูกเชือกที่ก้นแก้วทั้งสอง ให้แก้วทั้งสองอยู่คนละฝั่งกัน เวลาใช้งาน ให้นำแก้วหนึ่งใบมาวางทาบที่ท้อง แก้วอีกฝั่งหนึ่งสำหรับให้คุณแม่พูดคุยกับน้อง มารดาอาจจะนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาม้วนให้เป็นรูปกรวย

จากนั้นนำปลายที่กว้างวางลงบนหน้าท้อง แล้วพูดคุยก็โดยผ่านกรวยนั้น อย่างน้อย 10 นาทีต่อครั้ง ควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เสียงดนตรีจะทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสติปัญญา  เสียงที่นุ่มนวล เสียงร้องเพลง จะช่วยให้ลูกน้อยในครรภ์จดจำเสียงนั้นได้ดีขึ้น

cr.pic:https://th.wikihow.com

2.พัฒนาการด้านความรู้สึกและความเคลื่อนไหว เมื่ออายุครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ขึ้นไป ระบบประสาททางการเคลื่อนไหวของทารก จะสามารถรับรู้การสัมผัสของมารดาซึ่งการลูบหน้าท้องและนั่งบนเก้าอี้โยก หรือชิงช้า คุณแม่เองก็จะรู้สึกผ่อนคลายขณะนั่งเล่นบนเก้าอี้โยกและรู้สึกผูกพันกับลูกน้อยขณะลูบหน้าท้องตนเอง โดยเฉพาะขณะที่คุณแม่ขยับตัวหรือลูบและสัมผัสทารกในครรภ์ ผิวของลูกน้อยจะสัมผัสกับผนังหน้าท้องด้านในของมดลูก จะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการด้านความรู้สึกการนั่งบนเก้าอี้โยกไปมานั้น

นอกจากเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวแล้ว ยังทำให้ลูกน้อยของเราได้ปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น. การลูบหน้าท้องก็เช่นกัน ทารกจะมีการเคลื่อนไหวและการได้รับสัมผัสเวลาที่อยู่ในครรภ์ในทุกสัมผัสที่เกิดขึ้น จะเพิ่มประสิทธิภาพและความไวในการรับรู้ของทารก การสัมผัสน้ำอุ่นน้ำเย็น เพื่อพัฒนาเชลล์ประสาทส่วนรับความรู้ร้อนหนาวและปรับสภาพ ให้ทารกชินกับความอุ่นความเย็น โดยเอาน้ำใสในขวดสัมผัสตามหน้าท้องของมารดาเป็นเวลาสองนาที

cr.pic:https://th.wikihow.com

3. พัฒนาการด้านการมองเห็นทารกจะพัฒนาเต็มที่ และรับรู้ผ่านการมองเห็นได้เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป ทางการแพทย์จะใช้แสงสว่างส่องเข้าไปทางปากมดลูก เพื่อดูการตอบสนองการเต้นของหัวใจและทดสอบความแข็งแรงสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ ถ้าการเต้นของหัวใจทารกเร็วขึ้นตอนส่องไฟ แสดงว่าทารกตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมดี และมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ใช้ไฟฉายส่องบริเวณหน้าท้องจะกระตุ้นพัฒนาการทางด้านการมองเห็นนี้ จะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการมองเห็นของทารก

    อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของทารกในครรภ์ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะคุณพ่อและคุณแม่ ควรศึกษาเกี่ยวกับการกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยตั้งแตในครรภ์ และปฏิบัติอย่างถูกต้อง การได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้นในครอบครัว และสามารถถ่ายทอดความรักความห่วงใยไปสู่ลูกน้อยได้มากขึ้นเช่นกันส่งผลดีต่อลูกในครรภ์ให้ร่าเริง แจ่มใส  ฉลาดหลักแหลม สามารถมีพัฒนาการด้านต่างๆได้ดี

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com 

Categories
good health

กู้ดไนท์! นักวิทยาศาสตร์เข้าใกล้การปลดล็อคให้ทุกคนฝันดี

คุณเคยฝันหรือเปล่า? แน่นอนทุกคนเคยฝัน

แต่คุณเคยควบคุมความฝันตัวเองได้หรือเปล่า เคยตื่นในฝันแล้วอุทานว่านี่เรากำลังฝันอยู่นี่นา หรือเปล่า?

50% ของพวกเรามีประสบการณ์ในการตื่นในความฝัน และหลังจากนั้นจะสามารถควบคุมความฝันได้บางส่วนหรือทั้งหมด คนที่มีประสบการณ์นี้โดยส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบมันเพราะว่าเหมือนอยู่ในโลกเสมือนจริงที่สามารถกำหนดสิ่งต่างๆได้เอง

แต่น่าเสียดายที่แม้มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่คนที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ อาจได้รับมันเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้นในชีวิต

เรื่องนี้ฟังดูเหมือนเรื่องลี้ลับหรือสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนทั่วไปก็เพียงแต่รอคอยว่าจะได้มีประสบการณ์แบบนี้สักครั้ง หรืออีกครั้ง

นอนหลับชาย

แต่ไม่เป็นอย่างนั้นกับ Lucidity Institute สถาบันที่มีชื่อตรงตัวว่าความชัดเจน ที่มาจากคำว่า Lucid dream ที่แปลว่าฝันอย่างรู้ตัว(ชัดเจน) ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1987 ที่มุ่งศึกษาการฝันของคนเราโดยรวมไปถึงระบบประสาทและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ทำให้เราฝัน

เร็วๆนี้นักวิจัยพบความเชื่อมโยงของของการใช้ยากาแลนตามีน (Galantamine)ที่ใช้ช่วยในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ กับการควบคุมความฝัน

ตัวยาโดยตัวมันเองไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาด แต่ช่วยกระตุ้นการเพิ่มความจำ การตระหนักรู้ ทำให้คนเป็นอัลไซเมอร์สามารถใช้ขีวิตประจำวันได้ดีขึ้น โดยฤทธิ์ของตัวยาทำงานโดยตรงกับสารสื่อประสาทภายในสมอง

และเมื่อมันช่วยกระตุ้นความสามารถของสมองในการตระหนักรู้ได้ ดังนั้นก็อาจมีผลกับการทำให้เกิดการตระหนักรู้ตัวเองในระหว่างการฝันได้

สถาบัน ลูซิดดิตี้

สถาบัน Lucidity ได้ทำการทดลองกับอาสาสมัคร 121 คนเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างยากาแลนตามีน กับการควบคุมฝัน

โดยที่อาสาสมัครเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาคือกลุ่มคนที่ผ่านการฝึกฝนในโปรแกรมของสถาบันในการควบคุมควมฝันของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีอัตราการควบคุมความฝันได้มากกว่าคนทั่วไปอยู่มากอยู่แล้ว

การทดลองจัดขึ้นเป็นเวลาต่อเนื่องสามวัน โดยเริ่มต้นด้วยด้วยเม็ดยาหลอกก่อน จากนั้นถัดไปอีกวันได้รับกาแลนตามีน 4 มิลลิกรัม และในวันสุดท้ายรับยาเพิ่มเป็น 8 มิลลิกรัม

โดยที่พวกเขาจะใช้เวลาประมาณ4.5ชั่วโมงหลังดับไฟไปแล้วปฏิบัติตามเทคนิคที่ฝึกฝนมา แล้วจึงรับยาและนอนหลับ

ผลการทดลองน่าสนใจมาก เพราะในคืนแรก 14 เปอร์เซ็นของผู้เข้ารับการทดสอบรายงานว่าเกิดลูซิดดรีม หรือรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ ในขณะที่คืนที่สองมีเพิ่มขึ้นถึง 27 มิลลิกรัมเมื่อมีตัวยาเข้าช่วยที่ 4 มิลลิกรัม และในคืนสุดท้ายที่มียาเพิ่มเป็น 8 มิลลิกรัม จำนวนผู้ที่รู้ตัวขณะฝันมีมากถึง 42 เปอร์เซ็นต์

ฝันดี

แน่นอนว่าถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่คนทั่วไป พวกเขาฝึกฝนมาเพื่อรับรู้ประสบการณ์การควบคุมความฝัน แต่ว่าการที่ความสามารถในการตื่นขณะฝันได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญบ่งบอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการทดลอง และเข้าใกล้กับการไขความลับของการควบคุมความฝัน

ใครจะทราบว่าต่อจากนี้เทคโนโลยีนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง การทบทวนความจำระหว่างการฝัน อย่างที่เห็นในหนังไซไฟอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

วันหนึ่งข้างหน้า การบอกว่า “ฝันดีนะ” ก่อนนอน อาจจะไม่ใช่แค่การอวยพร แต่หมายถึง “ฝันดี” อย่างแน่นอนก็เป็นไปได้

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com

Categories
good health

เช็คด่วนสุขภาพจิต 4 อาการ พบเป็นจำนวนมากในคนไทย มีใครบ้างเป็นกลุ่มเสี่ยง

ความจริงที่น่ากังวลใจการระบาดของไวรัสโควิค 19 ในปัจจุบันนั้นยังไม่คลี่คลายเลย ซึ่งบอกได้เลยว่าผ่านมาแล้ว 20 กว่าเดือน ในช่วงเวลาปัจจุบันได้ทำร้ายหลายชีวิต ซึ่งทำให้ผู้ที่ติดเชื้อนั้นเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นั่นก็คือปัญหาภาพรวมในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่กำลังพบเจออยู่ บอกเลยว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแต่อย่างใด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายจนหลายคนควรจะสังเกตตัวเอง และควรระวัง ว่าคุณนั้นมีอาการเหล่านี้หรือไม่ ถ้าหากมีอาการจะได้ป้องกัน และรักษาได้อย่างทันท่วงที

1. มีสภาวะความเครียดสูง

สำหรับท่านใดที่มีสภาวะทางด้านอารมณ์ และจิตใจอยู่ในความเครียดที่สูง เพราะว่ามีความกดดันเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจรวมไปถึงการทำงาน  ขอแนะนำให้คุณนั้นพยายามทำจิตใจให้สงบ ด้วยการหากิจกรรมยามว่าง วิธีนี้จะสามารถช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำอาหาร สิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยลดระดับความเครียดลงไปได้ และสามารถช่วยควบคุมฮอร์โมนในร่างกายได้อีกด้วย

2. ความเสี่ยงอาการโรคซึมเศร้า

สำหรับคนไทยอาการนี้น่ากังวลมากที่สุด เพราะส่วนใหญ่จะมีอาการในลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งวิธีการแก้สุขภาพจิตเกี่ยวกับโรคซึมเศร้านั่นก็คือการเข้าสู่สังคมบำบัด จะเป็นวิธีการบอกเล่าเรื่องราวที่มีความทุกข์เก็บกดภายในใจออกไป วิธีนี้สามารถช่วยทำให้อาการเหล่านั้นทุเลาลงได้ และควรจะติดต่อทางแพทย์โดยเร็ว เพราะว่าสามารถช่วยแก้ไขได้ง่ายกว่าการปล่อยไว้เป็นระยะเวลานาน

3. สภาวะอารมณ์แปรปรวนเสี่ยงฆ่าตัวตาย

สำหรับผู้มีความเครียด และหมดหนทางในการใช้ชีวิตสุขภาพจิตในปัจจุบัน สำหรับคนกลุ่มนี้ควรไปพบแพทย์โดยด่วน บอกเลยว่าเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และคิดฆ่าตัวตายเป็นอย่างมากวิธีการแก้ที่ดีที่สุด นั่นก็คือการพบจิตแพทย์บำบัดรวมไปถึงรับยาจากคุณหมอ และพยายามให้เวลากับตัวเองมองดูแลมุมโลกที่สวยงาม จะทำให้อาการเหล่านี้เบาบางลงได้ และลดความเครียดพร้อมทางลดอาการความเสี่ยงการฆ่าตัวตายในปัจจุบัน

4. ปัญหาชีวิตรู้สึกหมดไฟในการใช้ชีวิต และการทำงาน

เชื่อถือว่าทุกคนน่าจะเคยมีอาการแบบนี้กับมาบ้าง แต่ถ้าหากผิดพลาดหรือไม่ประสบความสำเร็จแบบต่อเนื่องกัน อันนี้ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้สุขภาพจิตทางด้านอารมณ์ของคุณนั้นหมดกำลังใจ และการใช้ชีวิตไปโดยปริยาย ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านอาชีพการงานของคุณอย่างแน่นอน วิธีการแก้คือ แนะนำให้คุณให้เวลากับตัวเองสัก 1 วัน มองหามุมที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ และพยายามค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ในเวลา 24 ชั่วโมงนั้นคุณจะพบคำตอบที่ยอดเยี่ยมให้กับตัวเองอย่างแน่นอน วิธีนี้แก้ง่าย และช่วยได้จริง

สรุป

ความเครียดสำหรับคนไทยถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย ไม่น้อยกว่าปัญหาโควิค 19 ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากคุณเข้าใจถึงปัญหา คุณก็จะสามารถจัดการเกี่ยวกับสุขภาพจิต และความคิดของคุณได้ ในบทความนี้หวังว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยดูแลคุณทางอ้อมได้เช่นเดียวกัน ขอให้ทุกคนโชคดี

ขอขอบคุณภาพจาก  https://pixabay.com/

ติดตามบทความ good health ในทุกสัปดาห์ได้ที่ howto-healthy.com